แม้จะเป็นช่วงฤดูแล้ง แต่ป่าชุมชนบ้านนาอิสาน ตำบลท่ากระดาน อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็ยังดูเขียวขจีมีความชุ่มชื้นทั้งพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า อาหารธรรมชาติ ที่ชาวบ้านนาอิสานสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุลเป็นวิถีแบ่งปัน ผูกพัน คน น้ำ ป่า ได้อย่างกลมกลืน
นายบุญเฮียง บุตรจันทรา ประธานป่าชุมชนนาอิสาน เล่าว่า บ้านนาอิสานเป็นชุมชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ได้ประมาณ 15 กว่าปีเท่านั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวอีสานที่อพยพหนีปัญหาหนี้สินรุงรังจากการประกอบอาชีพพืชเชิงเดี่ยว และความแห้งแล้งของผืนแผ่นดิน จนไม่สามารถทำไร่ทำนาหากินได้เหมือนอดีต ต้องย้ายถิ่นฐานและเห็นว่าพื้นที่รอยต่อป่าเขาอ่างฤๅไนมีความอุดมสมบูรณ์ หากินง่าย จึงสร้างกระท่อมในป่าปลูกข้าว หาของป่า ล่าสัตว์เป็นอาหาร นานๆ เข้าจึงลงหลักปักฐานอยู่อย่างถาวร
ปี 2530 ชื่อเสียงบ้านนาอิสานโด่งดังจากคำบอกเล่าปากต่อปากของญาติๆ เรื่องความอุดมสมบูรณ์จึงอพยพมาอยู่รวมกันกว่า 200 ครัวเรือน บางคนมาซื้อที่ดินต่อจากญาติเพียงไร่ล่ะ 1,000 บาท บางคนมาเพื่อถากถางป่าใหม่หลังรัฐบาลให้นายทุนเข้ามาสัมปทานป่าสิ้นสุดลง จนประมาณปี 2533 รัฐบาลจึงประกาศปิดป่า
หลังปิดป่าไม่นาน รัฐบาลมีนโยบายเอาคนออกจากป่า แต่ชุมชนมองว่าการออกจากป่าก็เหมือนตายทั้งเป็น จึงเรียกชาวบ้านมาประชุมหาทางออกร่วมกัน ชักชวนกันสร้างโรงเรียนเพื่อเป็นข้อต่อรองรัฐ เมื่อสร้างโรงเรียนเสร็จหาครูมาสอนไม่ได้เพราะรัฐไม่รองรับทั้งรายได้และสวัสดิการต่างๆ ผู้นำจึงมองหาเด็กในชุมชนที่เรียนจบสูงๆ มาสอน 4 คน ได้รับค่าจ้าง โดยวิธีเก็บเงินจากชาวบ้านคนล่ะ 600 บาท บ้านนาอิสานจึงอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้
นายดาวเรียง บุตรจันทรา เลขานุการป่าชุมชน เล่าเสริมว่า 6-7 ปีที่ผ่านมาบ้านนาอิสานมีความเจริญอย่างมากมีทั้งถนน ไฟฟ้า ตัดผ่าน ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวดูดทรัพยากร ทุกคนต้องเร่งหาเงินทอง เครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นไหลเข้าชุมชน บางคนต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย หลายครอบครัวจึงลักลอบตัดต้นไม้ ล่าสัตว์ ทำให้ป่าลดลงจนเกือบจะไม่เป็นป่า ภาพบ้านนาอิสานที่เขียวขจีจึงดูแหงแล้ง น้ำแห้งขอด ฝนน้อยลง อากาศร้อนกว่าแต่ก่อน หาอาหารจากป่าได้น้อยลง
ป่าคือลมหายใจของชีวิต คนที่มีใจรักป่าจึงรวมกลุ่มตรวจสอบพื้นที่ ยับยั้งการบุกรุกป่า เบื้องต้นมุ่งไปที่ป่าที่ยังพอมีต้นไม้ พอเป็นแหล่งน้ำซับ ในที่สุดสามารถขยายป่าออกไปสู่ป่าเสื่อมโทรมที่เหลือ บทบาทของผู้พิทักษ์ป่าของกลุ่มแกนนำจึงได้รับการยอมรับมากขึ้นจากคนในชุมชนและหน่วยงานรัฐ
การเข้าไปให้ความรู้การอนุรักษ์ป่ามีความยุ่งยากมากในระยะแรก เพราะหลายคนไม่เห็นด้วย จึงมีการแบ่งพักแบ่งพวกอย่างชัดเจน ต่างคนต่างดิ้นรนแต่เรื่องของตนเองจนขาดความสามัคคี ทำให้คนไม่เข้าใจกัน ไม่พึ่งพากันเหมือนอดีตทั้งๆ ที่มาจากที่มาจากที่เดียวกัน
“บางทีก็ท้อเพราะมาคิดๆว่าป่าเป็นสมบัติส่วนร่วมเราจะมารักษาทำไม แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ คิดจะเลิก เราก็ได้ใช้ประโยชน์กับเค้า ถ้าคิดแบบนี้หมดทุกคนก็จะไม่เหลือป่า”
ในที่สุดจึงรวมกลุ่มต่อสู้เพื่อป่ามีการแบ่งเขตป่าอนุรักษ์และป่าทำมาหากินอย่างชัดเจน มีการส่งสมาชิกออกไปเรียนรู้การจัดการป่า เพื่อนำมาจัดการกับป่าชุมชนบ้านนาอิสาน ส่วนการทำไร่ ทำนา ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่แต่ใช่ภูมิปัญญาเดิม คือยึดหลักแบบวนเกษตรใช้หลักการทำมาหากินแบบคนพึ่งพิงป่า ป่าพึ่งพิงคน
“การใช้ทรัพยากรนั้นต้องใช้อย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ถ้าหากเราใช้ฟุ่มเฟือยเราก็จะถูกลงโทษโดยกฏแห่งธรรมชาติ ฉะนั้นเราก็จะต้องอนุรักษ์ไปพร้อมๆ กับการใช้ประโยชน์”
ช่วงหลังๆ จึงได้รวมกลุ่มกันและตั้งเป็นป่าชุมชนโดยได้รับความร่วมมือจากกรมป่าไม้ สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เชิญชวนชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกัน จัดกิจกรรมทำแนวกันไฟ ปลูกป่าเสริม ยับยั้งการตัดไม้ทำลายป่า ล่าสัตว์ ที่สำคัญยังได้สร้างคนรุ่นใหม่เพื่อเชื่อมโยงรุ่นเก่าด้วย
พี่ดาวเรียง เล่าต่อว่า แม้จะมีการอนุรักษ์ป่าและมีข้อห้ามอยู่หลายข้อแต่หลายครอบครัวยังต้องพึ่งพิงป่า เพราะหลายคนทำนาไม่มีข้าวกิน จึงต้องเข้าป่าตัดไม้เลื่อยเป็นแผ่นใหญ่มาขายซื้อข้าวกิน บางครอบครัวอยู่ติดป่ามีการบุกรุกป่าอยู่เนืองๆ คณะกรรมการจึงมีการพูดคุย ในที่สุดก็เอาเขาเข้ามาเป็นคณะกรรมการ แนะนำถึงผลกระทบที่เกิดจากการทำลายป่า
“เราได้พี่น้องเรากลับคืนมาแล้ว ซึ่งทุกคนต่างขอโทษขอโพยในสิ่งที่ได้ทำลงไป ก็เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนที่เคยทำลายก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาเป็นผู้อนุรักษ์ เคียงบ่าเคียงไหล่กับแกนนำ เพื่อป่า เพื่อบ้าน และเพื่อพี่น้องทั้งคน ต้นไม้ และสัตว์ป่า”
ในทุกๆ ปี ของวันที่ 12 สิงหาคม พี่น้องทั้งชุมชนจะมีการทำบุญให้ป่า โดยหยิบยกการสื่อเนื้อหา 4 แม่ เพื่อให้เห็นความผูกพัน รู้คุณค่าของแม่ ซึ่งแม่ที่ว่าล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่าทั้งนั้น แม่แรกคือแม่ธรณี ทำอย่างไรไม่ให้แม่ร้อน เราก็มาปลูกต้นไม่คลุมดิน ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล จนเกิดเป็นแม่น้ำไหลลงสู่ไร่นาทำให้พืชผลสมบูรณ์ จนเกิดเป็นแม่โพสพ ทำให้ข้าวงามสมบูรณ์ และปลอดจากสารพิษ แล้วคนที่กินอาหารสมบูรณ์ก็จะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดได้อยู่ดีกินดี มีลูกที่สมบูรณ์
วิถีชาวบ้านทีร้อยรัดดวงใจด้วยงานบุญ งานประเพณี วัฒนธรรม ที่ทั้งสร้างความสามัคคี และให้คุณค่าทางจิตใจ แต่ในอีกด้านของชุมชน คือการทำมาหากิน ที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งได้หาอยู่หากินผลผลิตจากป่าที่อุดมสมบูรณ์ขึ้น ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าป่าก็ได้อาศัยผลพลอยได้จากการมีคณะมาดูงานในชุมชน สร้างอาชีพเสริมใหม่ๆ ขึ้น เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มธนาคารข้าว กลุ่มอนุรักษ์วังปลา เป็นต้น
นี้เป็นผลที่ได้จากการอนุรักษ์ป่าชุมชนที่บ้านนาอิสาน แต่วันนี้ยังต้องประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเข้าใจมากกว่านี้ เพราะชาวบ้านยังติดนิสัยใช้อย่างฟุ่มเฟือย และทุกวันนี้ชีวิตคนนาอิสานเมื่อเข้าป่า ต้องหากินอยู่กับป่า เหลือกินก็ขาย และทุกคนก็ภูมิใจที่ได้มาเป็นผู้ดูแลป่า ถึงแม้จะไม่มีค่าตอบแทนก็ตาม แต่ผลที่ได้รับมันคุ้มแสนคุ้ม
ป่าชุมชนคือสมบัติอันล้ำค่าที่เปรียบค่าไม่ได้เป็นเงินทอง ซึ่งทุกวันนี้ชาวบ้านนาอิสานทุกคนทำงานบนเส้นทางที่มีความสุขและจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนลมหายใจสุดท้าย และจนกว่าจะไม่มีแรงทำ





