‘อยุธยา’ หรือเมืองกรุงเก่า เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมายที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม พระราชวัง กำแพงเมือง ฯลฯ เรียกว่าพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วมีประวัติ มีตำนานเล่าขานทั้งนั้น เช่นเดียวกับที่ตำบลเต่าเล่า อำเภอบางซ้าย ชาวบ้านเล่ากันต่อๆ มาว่า เมื่อครั้งที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาได้มาพักค่ายและตั้งเตาต้มเหล้ากันในบริเวณนี้ ปัจจุบันยังมีซากของเตาต้มเหล้าปรากฏให้เห็นอยู่ ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านเตาเหล้า” ต่อมาในระยะหลังเรียกเพี้ยนเป็น “เต่าเล่า” เมื่อยกฐานะขึ้นเป็นตำบลจึงเรียกว่าตำบลเต่าเหล้าจนถึงปัจจุบัน
ตำบลเต่าเล่า อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 16,587 ไร่ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนา มีคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หนเป็นลำคลองสายหลัก ขณะเดียวกันในช่วงหลายปีมานี้พื้นที่ในตำบลเต่าเล่าได้กลายสภาพเป็นพื้นที่รองรับน้ำ โดยเฉพาะในปี 2554 ที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำนานหลายเดือน
ปัจจุบันตำบลเต่าเล่าขึ้นอยู่กับการปกครองของเทศบาลตำบลบางซ้าย มีประชากรทั้งหมดประมาณ 2,841 คน จาก 1,004 ครัวเรือน จำนวน 10 หมู่บ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา รับจ้างทั่วไป และเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม
กองทุนสวัสดิการชุมชนใช้สภาองค์กรชุมชนเป็นเวทีขับเคลื่อน
วรางคณา เนตรรักษา เลขานุการกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่า กล่าวถึงความเป็นมาของกองทุนสวัสดิการฯ ว่า ในช่วงกลางปี 2551 ตัวแทนชุมชนตำบลเต่าเล่าได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนสวัสดิการชุมชน จ.พระนครศรีอยุธยา และเวทีสภาองค์กรชุมชนตำบลระดับจังหวัด ทำให้พวกเรากลับมาร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้กองทุนวันละบาทนี้เกิดขึ้นได้จริง จึงได้ปรึกษาหารือกับผู้นำชุมชนของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งต่างก็มองเห็นความสำคัญของการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนขึ้นมา เพื่อเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในยามเจ็บไข้ได้ป่วยและเสียชีวิต
“พอดีกับในขณะนั้นตำบลเต่าเล่ากำลังจดแจ้งจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลขึ้นมา แกนนำในตำบลจึงได้ใช้เวทีสภาองค์กรชุมชนชี้แจงให้กรรมการและชาวบ้านแต่ละหมู่เข้าใจเรื่องกองทุนสวัสดิการชุมชน แล้วเปิดรับสมัครสมาชิกในแต่ละหมู่บ้าน” วรางคณาพูดถึงจุดเริ่มต้นของกองทุนสวัสดิการชุมชน
กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 มีสมาชิกเริ่มแรกจำนวน 108 คน โดยสมาชิกจะต้องสะสมเงินเป็นรายปีๆ ละ 365 บาท มีเงินกองทุนเริ่มแรกจำนวน 7,200 บาท และมีคณะกรรมการกองทุนฯ ทั้งหมดจำนวน 17 คน
ในช่วงเริ่มต้นคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมาก เนื่องจากเคยมีกลุ่มออมทรัพย์เกิดขึ้นมาก่อนแต่ทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จต้องล้มเลิกไป ทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อว่ากองทุนจะเกิดขึ้นได้จริง เมื่อเตรียมตัวจะจัดตั้งกองทุนสวัสดิการขึ้นมา ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยให้ความสนใจและสมัครเข้าร่วมกองทุนไม่มากนัก
นอกจากนี้ชาวบ้านยังมองในเรื่องของผลตอบแทนหรือประโยชน์ที่จะได้รับว่าน้อยกว่ากองทุนอื่นๆ เช่น กลุ่มฌาปนกิจของ อสม.ที่มีอยู่แล้ว เพราะสมาชิกกองทุนของ อสม.จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 300 บาท หากเสียชีวิตก็จะได้เงินตอบแทนประมาณ 1 แสนบาท หรือการทำประกันชีวิต หากเจ็บป่วยก็สามารถนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อเสียชีวิตก็มีผลตอบแทนให้สูงตามสัญญากรมธรรม์
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกองทุนฯ ก็ไม่ได้ย่อท้อยังคงเดินหน้าทำงานกันต่อไป ทั้งทำประชาคมหมู่บ้าน จัดประชุม พูดคุยเชิญชวนกันเองตามหมู่บ้าน โดยขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กับเวทีสภาองค์กรชุมชนตำบลเต่าเล่า ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังกองทุนสวัสดิการชุมชนไม่นานนัก ให้ความรู้ความเข้าใจกับชาวบ้านถึงหัวใจสำคัญของกองทุนสวัสดิการฯ ว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเงิน แต่ต้องการให้สมาชิกได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เกิดความรักความสามัคคีในชุนชน พึ่งพาตนเองได้
“เราพยายามบอกกับชาวบ้านว่ากองทุนของเราคือกองบุญ ทุกคนจะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ให้ก็ให้อย่างมีคุณค่า เพราะเราได้ช่วยเหลือเพื่อนๆ ได้จริง วันข้างหน้าเราจะได้เป็นผู้รับอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน” วรางคณากล่าว
สำหรับสภาองค์กรชุมชนตำบลนั้น จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2551 มีกลุ่ม องค์กรชาวบ้านเข้าร่วมจดแจ้งจัดตั้งจำนวน 12 กลุ่ม มีผู้แทนชุมชนจำนวน 40 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 8 คน มีกำนันสยาม สัญญเดช เป็นประธานสภาองค์กรชุมชน
เสียงบอกเล่าจากปากของสมาชิก
ป้าละออ ทวีสุข อายุ 66 ปี สมาชิกกองทุนสวัสดิการชุมชน เล่าว่า “ป้าเป็นสมาชิกได้สองปีแล้ว ตอนที่ป่วยนอนโรงพยาบาล 3 คืน กองทุนจ่ายเงินช่วยเหลือ 500 บาท ไม่ได้คิดว่าเงินมากหรือน้อย เพราะถ้าเราส่งน้อยแค่วันละบาท เราก็ได้รับน้อย ส่งมากก็ได้มาก พอได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนก็ดีใจ เพราะทุกวันนี้ป้าไม่มีอาชีพอะไร เลี้ยงหลานอยู่บ้าน เพื่อนบ้านพอรู้ว่าป้าได้รับเงินจริงเขาก็เริ่มเชื่อ แล้วมาสมัครเป็นสมาชิกกัน”
น้านฤมล หรั่งศิริ อายุ 50 ปี สมาชิกกองทุนฯ จากหมู่ 4 เล่าเรื่องที่ตนเองได้รับสวัสดิการจากกองทุนฯ ว่า “พ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาท ตอนที่นอนป่วยอยู่ก็ได้รับ 500 บาท แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่ก็นำมาใช้จัดงานศพเบื้องต้นได้ ดีใจที่ได้เข้าเป็นสมาชิก ชาวบ้านเขาเห็นว่าพี่ได้รับเงินจริงก็เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกกันมากขึ้น”
นับจากวันที่ป้าละออ ทวีสุข ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ แม้จะเป็นเงินเพียง 500 บาท พอสมาชิกทราบข่าวก็เล่ากันปากต่อไป ทำให้การทำงานของคณะกรรมง่ายขึ้น และกรณีการเสียชีวิตของคุณพ่อของน้านฤมล หรั่งศิริ ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 3,000 บาท ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ชาวบ้านทั้ง 10 หมู่บ้านเห็นเป็นรูปธรรมว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าสามารถช่วยเหลือสมาชิกกองทุนได้จริง ชาวบ้านจึงเริ่มมาสมัครเป็นสมาชิกกองทุนกันมากขึ้น ประกอบกับความพยายามของคณะกรรมการในแต่ละหมู่ที่ลงทำงานเชิงรุกกับชาวบ้าน จนกระทั่งสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเดิม 108 คนเป็น 286 คนเมื่อกองทุนมีอายุครบ 1 ปีพอดี
สำหรับสวัสดิการที่ช่วยเหลือสมาชิก ประกอบด้วย 1.เด็กแรกเกิด รายละ 500 บาท 2.เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล ตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไปกองทุนฯ จ่ายให้ 500 บาท ปีละ 2 ครั้ง 3.สมาชิกเสียชีวิต ช่วยเหลือ 3,000 บาท 4.สวัสดิการผู้ด้อยโอกาส-คนพิการ 5.เพื่อพัฒนาอาชีพ 6.การศึกษา 7.ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และ8.ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งสวัสดิการตั้งแต่ข้อ 4-8 คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณาตามความเหมาะสมว่าจะช่วยเหลือกี่ราย รายละเท่าใด
ที่ผ่านมากองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าได้ช่วยเหลือสมาชิกไปแล้ว ดังนี้ เด็กแรกเกิด/คลอดบุตร จำนวน 3 ราย รวมเงิน 1,500 บาท, เจ็บป่วยรักษาพยาบาล 18 ราย รวมเป็นเงิน 9,000 บาท, เสียชีวิต 15 ราย รวมเป็นเงิน 45,000 บาท, ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส 5 คน รวมเป็นเงิน 1,500 บาท, ผู้ยากไร้ 2 คน รวมเป็นเงิน 2,000 บาท, ทุนการศึกษา 12คน รวมเป็นเงิน 6,000 บาท, พัฒนาอาชีพ 10,000 บาท และช่วยเหลือน้ำท่วม 10,000 บาท
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนฯ ยังได้ประสานงานไปยังหน่วยงานภายนอก เช่น กาชาดจังหวัด เพื่อให้ช่วยเหลือซ่อมแซมและสร้างบ้านให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจำนวน 4 หลัง โดยชาวบ้านและสมาชิกกองทุนสวัสดิการชุมชนฯ ช่วยกันออกแรง
สร้างกองทุนฯ ให้เติบโต
ภิรมย์ รัตนกนก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่า กล่าวว่า ตอนแรกการทำงานในชุมชนยากมาก ล้มลุกคลุกคลาน เพราะชาวบ้านไม่ค่อยเชื่อว่ากองทุนจะเกิดได้จริง ไม่ไว้ใจเลย เนื่องจากเคยมีกลุ่มลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อน ทำแล้วล้มไป ทำงานแบบไม่ซื่อตรง ชาวบ้านไม่เคยเห็นกลุ่มที่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีตัวอย่างให้ดู และก็กลัวว่าตั้งมาใหม่เดี๋ยวก็ล้มอีก
“ผมก็พยายามพูดคุยให้เข้าใจ ตอนแรกชาวบ้านก็ยังไม่ค่อยยอมรับการจัดตั้งกองทุน หมู่บ้านผมมีประชากร 290 คน แต่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนแค่ 30 คนเท่านั้น แต่ช่วงหลังสมาชิกในหมู่ของเราได้รับการช่วยเหลือจริง 3 คน จึงเร่ิมขยายฐานสมาชิกออกไปได้อีก ส่วนการเงินของกองทุนฯ เราจะเก็บกันปีละ 1 ครั้ง ส่วนคนที่จะได้รับประโยชน์ก็ต้องเป็นสมาชิกครบอย่างน้อย 1 ปีก่อน” ผู้ใหญ่ภิรมย์กล่าว และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะขยายฐานสมาชิกให้ครอบคลุมทุกครัวเรือนให้ได้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ศิริธร สว่างเดือน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 และเป็นคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการ เล่าถึงการทำงานกองทุนฯ ว่า ในหมู่ 6 มีชาวบ้านทั้งหมด 148 คน สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสวัสดิการฯ 44 คน แต่การจัดเก็บเงินในหมู่ที่ 6 จะต่างไปจากหมู่อื่นๆ เพราะจะจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนสวัสดิการฯ เป็นรายเดือนๆ ละ 30 บาท โดยจะนัดส่งเงินเข้ากองทุนฯ ทุกวันที่ 10 ของเดือน เนื่องจากในวันนี้เป็นวันมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน
“เมื่อนำเงินจากเทศบาลตำบลเต่าเล่ามามอบให้ผู้สูงอายุแล้วก็จะเก็บเงินจากสมาชิกกองทุนฯ ในวันเดียวกัน เพราะสมาชิกกองทุนฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ จากนั้นจึงจัดทำบัญชีการเงิน ถ้าสมาชิกเดือดร้อนเราจะนำเงินไปช่วยเหลือสมาชิกได้ทันที แต่ต้องแจ้งไปยังเลขาฯ ก่อนทุกครั้ง และทำบัญชีไว้ให้เรียบร้อยเพื่อให้มีการตรวจสอบได้ตลอดเวลา” ศิริธรกล่าว
ปัจจุบันกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่ามีคณะกรรมการ 17 คน โดยมาจากตัวแทนสมาชิก ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และจากผู้ทรงคุณวุฒิในชุมชน มีการจัดประชุมย่อยทุกๆ 3 เดือน และประชุมใหญ่ปีละ 1 ครั้ง การทำงานของคณะกรรมการกองทุนฯ จะแยกกันรับผิดชอบแต่ละหมู่บ้าน การเก็บเงินสมทบมีทั้งรายเดือน ราย 3 เดือน รายปี แล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละหมู่บ้าน งานส่วนรวมที่คณะกรรมการต้องร่วมกันขับเคลื่อนมีตั้งแต่ การช่วยกันประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้แก่สมาชิก ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับสมาชิก ส่งเสริมสนับสนุนให้สมาชิกในชุมชนพึ่งตนเองให้ได้ และวางแผนงานร่วมกันในการขยายฐานสมาชิก
นอกจากจะมีคณะกรรมการที่ร่วมกันฝ่าฟันความยากลำบากในการจัดตั้งกองทุน และในช่วงการทำงานขยายฐานสมาชิกแล้ว ตำบลเต่าเล่ายังมีวรางคณา เนตรรักษา เลขาฯ กองทุนฯ ซึ่งถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ทำงานประสานทั้งภายในและองค์กรภายนอกต่างๆ จนกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าดำเนินการมาได้ 4 ปีเต็ม และกำลังก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 5 สามารถลบคำครหาว่ากองทุนฯ คงจะไปได้ไม่กี่น้ำ เดี๋ยวก็ต้องล้มแน่ๆ
วรางคณา กล่าวว่า กองทุนสวัสดิการตำบลเต่าเล่ายังเป็นเพียงกองทุนเล็กๆ แต่ก็เป็นกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจาก 3 ฝ่ายด้วยกัน คือจากสมาชิก จากสภาองค์กรชุมชนตำบลและเทศบาลตำบลบางซ้าย และเงินสมทบจากรัฐบาล ปัจจุบันกองทุนมีเงินสนับสนุนจากเทศบาลตำบลบางซ้าย จำนวน 70,000 บาท รัฐบาลสมทบมาให้จำนวน 104,390 บาท นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนเพื่อสร้างศูนย์เรียนรู้เรื่องกองทุนสวัสดิการชุมชนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จำนวน 30,000 บาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเพียงกองทุนเล็กๆ แต่การทำงานของกองทุนสวัสดิ การชุมชนตำบลเต่าเล่า ก็สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ สามารถตรวจสอบได้ เช่น มีการจัดทำรายงานการประชุม มีการบันทึกบัญชีการเงินในสมุด และบันทึกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถออกรายงานการเงินที่เป็นปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง มีการประชุมและติดตามประเมินผลโดยคณะกรรมการกองทุนฯ ทุกๆ 3 เดือน และจัดทำรายงานผลต่อสมาชิก-คณะกรรมการ รายงานผลต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและเป็นระบบ
“ปัจจุบันเราใช้สภาองค์กรฯ เป็นเวทีขับเคลื่อนกองทุนสวัสดิการ เพราะสมาชิกสภาองค์กรชุมชนส่วนใหญ่ก็เป็นกรรมการกองทุนสวัสดิการอยู่แล้ว เราจึงขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ทุกวันนี้คณะกรรมการกองทุนฯ ของตำบลเต่าเล่าทำงานกันอย่างไม่มีค่าตอบแทน มีจิตอาสาอย่างเดียว ทำงานจนได้รับการประเมินจากมหาวิทยลัยธรรมศาสตร์ว่าตำบลเต่าเล่ามีจุดเด่น คือความเข้มแข็งในการทำงานของคณะกรรมการดีมาก” วรางคณากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
นอกจากนี้กองทุนสวัสดิการชุมชนฯ ยังทำงานเชื่อมโยงกับงานพัฒนาชุมชนด้านอื่นๆ เช่น งานด้านแผนพัฒนาชุมชน งานที่อยู่อาศัย ส่งเสริมอาชีพ การจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีศาสนา และงานด้านเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส
ก้าวย่างต่อไปของกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าจะใช้เวทีสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นตัวขับเคลื่อนงาน แต่ในทางปฏิบัติแล้วการขยายฐานสมาชิกยังทำได้ไม่มากนัก หากดูจากจำนวนผู้สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกของกองทุนฯ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 350 คนกับจำนวนประชากรทั้งตำบลที่มีอยู่ประมาณ 2,800 คน จากการประเมินผลของคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนฯ พบว่า ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญคือ 1.ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องกองทุนสวัสดิการ 2.ชาวบ้านนำเอาสวัสดิการชุมชนฯ ไปเปรียบเทียบกับการประกันชีวิตที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ปัจจุบัน (กันยายน 2555) กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่ามีสมาชิกทั้งหมดจำนวน 350 คน แยกเป็นสมาชิกทั่วไป จำนวน 155 คน สมาชิกเด็ก เยาวชน และ ผู้สูงอายุ จำนวน 190 คน และผู้พิการ ด้อยโอกาส จำนวน 5 คน มีเงินกองทุนในขณะนี้ประมาณ 170,000 บาท
วรางคณา กล่าวว่า จากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว ทำให้คณะกรรมการกองทุนฯ จะต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกันเองในชุมชน และระหว่างชุมชน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ จะต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจในเรื่องประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับ นอกจากนี้ก็จะมีการประสานงานกับเทศบาลตำบลเต่าเล่า เพื่อขอให้สนับสนุนงบประมาณเข้ากองทุนสวัสดิการชุมชนฯ มากขึ้น
“เราตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่าจะต้องมีสมาชิกครอบคลุมทุกครัวเรือนในตำบล (1,004 ครัวเรือน) คือมีจำนวนสมาชิก 1,004 คน ดังนั้นคณะกรรมการกองทุนฯ จะต้องลงพื้นที่ให้มากขึ้น เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้น มีเงินกองทุนมากขึ้น กองทุนสวัสดิการฯ ก็จะช่วยเหลือสมาชิกได้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิต ผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และผู้พิการ” เลขานุการกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเต่าเล่ากล่าวในตอนท้าย
คนกรุงเก่าสร้างชีวิตใหม่ด้วยการจัดตั้งสวัสดิการให้กับตนเอง
- รายละเอียด
- ผู้ดูแลระบบ
- หมวดหลัก: ข่าวความเคลื่อนไหวงานพัฒนา
- ฮิต: 1738