ลำคลองที่มากมายนับพันคลองในกรุงเทพฯ บางแห่งเป็นลำคลองสายเดียวกัน แต่อาจจะเรียกชื่อต่างกันไปตามสถานที่สำคัญในท้องถิ่น เช่น “คลองสอง” เป็นคลองที่เชื่อมต่อมาจากคลองถนน เขตสายไหม แต่เมื่อผ่านคลองสองลงไปยังเขตบางเขนซึ่งมีวัดบางบัวตั้งอยู่ ชาวบ้านก็เรียกว่า “คลองบางบัว” เรื่อยลงไปจนถึง “คลองวังหิน” และ”คลองลาดพร้าว” ซึ่งปัจจุบันคลองเหล่านี้มีสภาพเป็นคลองระบายน้ำ และ กทม.มีแผนงานที่จะก่อสร้างเขื่อนตลอดแนวลำคลองเพื่อแก้ปัญหาการปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำกีดขวางทางเดินของน้ำตามนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
“ชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธา” ตั้งอยู่ริมคลองสอง ซอยพหลโยธิน 67 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดระเบียบคลอง แม้ว่าชุมชนแห่งนี้จะถือว่าเป็น “ชุมชนน้องใหม่” ที่ชาวบ้านไม่มีกิจกรรมพัฒนาชุมชนร่วมกันมากนัก แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญและมีความเดือดร้อนเหมือนกัน ชาวบ้านต่างก็ลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วยความกระตือรือร้น
ก้าวแรกสู่บ้านมั่นคง
ชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธาเริ่มมีชาวบ้านเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่บนริมคลองสองประมาณหลังปี 2500 หรือเมื่อ 50-60 ปีก่อน ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและค้าขาย เพราะอยู่ใกล้ตลาดสะพานใหม่ ชุมชนตั้งขนานไปตามลำคลอง มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ ลำคลองกว้างประมาณ 20 เมตร สามารถเข้าออกได้ทั้งซอยพหลโยธิน 67 และทางตลาดสะพานใหม่
ต่อมาในระยะหลังเมื่อชุมชนขยายตัว มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น คนที่มาอยู่ทีหลังจึงสร้างบ้านติดริมคลอง บางหลังก็ปลูกล้ำลงไปในคลองเลย ส่วนใหญ่ปลูกสร้างด้วยไม้ ปัจจุบันมีบ้านเรือนทั้งหมด 370 หลัง มีประชากรประมาณ 2,000 คนเศษ
วินันท์ ผ่องมาลัย ประธานชุมชนฯ เล่าว่า ชุมชนแห่งนี้จดทะเบียนเป็นชุมชนกับสำนักงานเขตดอนเมืองในปี 2539 แต่ก็ยังไม่มีกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่ต่อเนื่อง หลังจากนั้นเมื่อมีการก่อตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในสมัยรัฐบาล พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร ประมาณปี 2545 ชุมชนร่วมมิตรฯ จึงได้รับงบประมาณ 1 ล้านบาทจัดตั้งกองทุนขึ้นมา เพื่อให้สมาชิกกู้ยืมไปหมุนเวียนหรือประกอบอาชีพ มีกรรมการ 12 คนช่วยกันบริหารกองทุน ต่อมาจึงได้เริ่มกิจกรรมต่อต้านยาเสพติดร่วมกับสำนักงานเขตดอนเมือง โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น กีฬา ศิลปะ และดนตรี รวมทั้งจัดอาสาสมัครในชุมชนเฝ้าระวังยาเสพติดอย่างเข้มแข็ง จนได้รับเลือกจากสำนักเขตฯ ให้เป็นต้นแบบชุมชนร่วมใจระวังภัยยาเสพติดในเดือนพฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา
ส่วนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยปลูกสร้างรุกล้ำลงในลำคลองนั้น ประธานชุมชนกล่าวว่า ตอนแรกที่รู้ข่าวว่ารัฐบาลและ กทม.จะสร้างเขื่อนและจัดระเบียบบ้านที่รุกล้ำคลอง เพื่อขยายคลองให้กว้าง 38 เมตรนั้น ชาวบ้านต่างก็ตกใจ เพราะที่ผ่านมาชุมชนยังไม่ได้เตรียมพร้อมเรื่องการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ไม่รู้ว่าจะทำหรือจะเริ่มต้นอย่างไร
“หลังมีข่าวแล้วไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่จาก พอช.และเครือข่ายริมคลองบางบัวเข้ามาให้ความรู้และคำแนะนำแก่กรรมการในชุมชน หลังจากนั้นประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็มีการจัดเวทีขึ้นในชุมชนเพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ชี้แจงให้ชาวบ้านเข้าใจว่าทางราชการไม่ได้เข้ามาไล่ แต่พวกเราจะต้องขยับบ้าน และจะต้องจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมาเพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้านใหม่” ประธานชุมชนเล่าถึงขั้นตอนในการเริ่มกระบวนการแก้ไขปัญหา
ต่อมาในเดือนมิถุนายนจึงเริ่มมีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมา มีคณะกรรมการจำนวน 10 คน ช่วยกันร่างระเบียบ ใช้ชื่อว่า “กลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธา” กำหนดให้สมาชิกออมเป็นรายเดือน ขั้นต่ำเดือนละ 250 บาท มีสมาชิกเข้าร่วมจำนวน 230 ราย
เสถียร เกิดสมบูรณ์ ประธานกลุ่มออมทรัพย์ฯ กล่าวว่า ขั้นตอนการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยก็ไม่ยุ่งยากนัก เพราะกรรมการและชาวบ้านเคยจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านมาก่อน หลังจากนั้นก็ให้กรรมการกลุ่มออมทรัพย์เป็นแกนนำในการสำรวจข้อมูลและจัดทำผังชุมชน โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ 1.โซนเหนือ มีจำนวน 159 หลัง 2.โซนกลาง 110 หลัง และ 3.โซนใต้ 101 หลัง รวมทั้งหมด 370 หลัง พบว่ามีบ้านเรือนที่อยู่ชายคลองทั้งรุกล้ำและไม่รุกล้ำรวมทั้งหมดประมาณ 160 หลัง
“เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมและกรรมการคนอื่นๆ ก็ใช้วิธีเดินคุยตามบ้านเพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจ บางบ้านก็ต้องคุยเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อให้รู้ว่าบ้านไหนที่รุกล้ำก็ต้องขยับขึ้นข้างบน ส่วนบ้านไหนที่อยู่ข้างบนอยู่แล้วก็ไม่ต้องขยับ แต่ถ้ามีที่ว่างก็ให้เห็นใจคนอื่นบ้าง ขอให้เอาที่ว่างมาจัดสรรให้คนที่ไม่มีที่อยู่ จะเป็นญาติหรือเป็นเพื่อนบ้านก็ได้ ให้ช่วยแบ่งปันกัน” น้าเสถียร ประธานกลุ่มออมทรัพย์ เล่าถึงความยากลำบากในการชี้แจงสร้างความเข้าใจ
ผลจากการทำความชี้แจงแบบเคาะประตูบ้าน รวมทั้งการประชุมกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ และการประชาสัมพันธ์แบบเสียงตามสายตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งการพาชาวบ้านไปดูของจริงที่ชุมชนริมคลองบางบัวและสะพานไม้ 1 ที่ทำโครงการบ้านมั่นคงมาก่อน จึงทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นด้วยกับโครงการ และสมัครเข้าร่วมกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเป็น 246 ราย แต่ยังมีคนไม่เห็นด้วย ไม่อยากรื้อบ้าน ไม่อยากเป็นหนี้ หรือกลัวเสียประโยชน์เพราะเป็นเจ้าของบ้านเช่า (มีประมาณ 10 หลัง) รวมแล้วประมาณ 100 ราย
จัดระเบียบสิทธิ์ที่อยู่อาศัย
แม้ว่าจะมีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ ไม่ยอมเข้าร่วม แต่กระบวนการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างบ้านของชาวชุมชนร่วมมิตรฯ ก็ยังดำเนินต่อไปตามลำดับ ซึ่งหลังจากที่ได้ข้อมูลจากการสำรวจบ้านเรือนแล้ว ต่อมาคณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ฯ จึงได้จัดประชุมชาวบ้านเพื่อร่วมกันกำหนดเกณฑ์การพิจารณาสิทธิ์ที่อยู่อาศัย โดยที่ประชุมได้มติดังนี้
1.ให้สิทธิ์บ้านละ 1 สิทธิ์ 2.กรณีที่มีผู้อยู่อาศัย 6-8 คนจะได้รับสิทธิ์ขยายขนาดบ้าน และครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่ 9 คนขึ้นไปจะได้เพิ่มไม่เกิน 1 สิทธิ์ 3.ผู้เช่าบ้านเกิน 5 ปีขึ้นไปจะได้รับพิจารณา 1 สิทธิ์ และ 4.เจ้าของบ้านเช่าไม่ได้อยู่อาศัยในชุมชนและใช้ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ จะไม่ได้สิทธิ์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ฯ กรรมการชุมชน ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการบ้านมั่นคง พอช.และเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนเมืองเขตบางเขน จัดให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงบ้านมั่นคง โดยให้เจ้าของบ้านหรือตัวแทนบ้านแต่ละหลังมายืนยันสิทธิ์ของตนเอง ใช้สถานที่บริเวณศาลาอเนกประสงค์ในชุมชน แบ่งพื้นที่แยกเป็น 3 โซน สมาชิกแต่ละโซนจะนำบัตรประชาชนมาชี้ที่แผนผังที่ระบุเลขที่บ้าน จากนั้นชาวบ้านแต่ละโซนก็จะช่วยกันรับรองว่าสมาชิกรายนั้นอยู่อาศัยในชุมชนจริงหรือไม่
“วันนี้เราให้ชาวบ้านมาพิสูจน์สิทธิ์ว่าแต่ละหลังมีตัวตนมีคนอยู่จริง เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ และเราจะได้รู้จำนวนคนที่เดือดร้อน คนที่ต้องการบ้านจริงๆ ส่วนเรื่องการออมเงินนั้น ผมบอกชาวบ้านว่า ตอนนี้เรารอไม่ได้แล้ว พยายามออมกันให้มากๆ เพื่อจะได้กู้เงินสร้างบ้านให้น้อยลง” น้าเสถียรกล่าว
ธนวัฒน์ ศิริมา กรรมการกลุ่มออมทรัพย์ฯ กล่าวเสริมว่า ตอนนี้ชาวบ้านเพิ่งออมเงินได้เพียง 2 เดือน อาจจะต้องใช้เวลาออมอีกประมาณ 1 ปีจึงจะเริ่มสร้างบ้านได้ ฉะนั้นถ้าใครจะออมมากกว่าเป็นเดือนละ 500 หรือ 1,000 บาทก็ได้ “ถ้าใครเดือดร้อนจริงๆ ต้องรื้อบ้านก่อน โดยเฉพาะบ้านริมคลอง เราก็จะประชุมกันเพื่อเอาเงินกองกลางมาช่วยก่อนก็ได้”
วินันท์ ผ่องมาลัย ประธานชุมชนฯ กล่าวถึงแผนงานที่จะดำเนินต่อไปว่า หลังจากนี้คงจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์มาสำรวจพื้นที่ในชุมชนก่อนที่ชาวบ้านจะเจรจาและทำสัญญาเช่าที่ดินว่า พื้นที่ที่จะเช่ามีเท่าไหร่ อัตราค่าเช่าเป็นอย่างไร ซึ่งในขณะนี้ชุมชนก็จะทำการสำรวจที่ดินของกรมธนารักษ์ที่อยู่ติดกับชุมชนไปทางชายคลองซึ่งเป็นที่ว่าง (แต่มีคนมาจับจองสิทธิ์) ว่าจะใช้พื้นที่ได้เท่าไหร่ รองรับชาวบ้านที่รุกล้ำคลองได้ทั้งหมดหรือไม่ หากรองรับได้ คนที่ปลูกบ้านอยู่ข้างบนอยู่แล้วก็ไม่ต้องขยับขยาย หรือไม่ต้องรื้อถอนทั้งชุมชน และหลังจากนั้นจึงจะให้สถาปนิกชุมชนช่วยออกแบบผังชุมชนและผังบ้านใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านเลือกแบบบ้านที่ถูกใจ ก่อนจะสร้างบ้านต่อไป
“ปีนี้เราอาจยังไม่ได้เริ่มสร้างบ้านเฟสแรก เพราะจะต้องออมกันให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่จะกู้ก่อน แต่ถึงมันจะช้าหน่อย แต่ก็คงไม่นานที่ชาวบ้านจะได้มีบ้าน ลูกหลานจะได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไร่รื้ออีกต่อไป” ประธานชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธากล่าวในตอนท้าย
นี่คือกระบวนการสร้างบ้านใหม่ของชาวชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธา แม้ว่าจะเพิ่งก้าวย่าง แต่ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น...เพื่อบ้าน...ครอบครัว...และชุมชนที่มั่นคง !
ก้าวย่างของชาวชุมชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธา...เพื่อบ้านที่มั่นคง
- รายละเอียด
- ผู้ดูแลระบบ
- หมวดหลัก: การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง
- ฮิต: 8057





