ความเป็นมาการต่อสู้ทางชาติพันธุ์ของคนม้งตำบลปอ
ตำบลปอ มีลักษณะเป็นภูเขาสูงเป็นส่วนใหญ่ มีที่ราบระหว่างเชิงเขาเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยระหว่างเทือกเขาดอยยาว – ดอยผาหม่นอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑,๖๓๕ เมตร พื้นที่ป่าบางส่วนยังมีความอุดมสมบูรณ์ตามบริเวณแนวชายแดนที่ติดกับสาธารณะรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว มีสัตว์ป่าหลายชนิด มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิโครงการหลวง หน่วยงานทหาร และองค์การบริหารส่วนตำบลปอ ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้ามาขูดรีด ใช้อำนาจเถื่อน กดขี่ทางเชื้อชาติ เรียกค่าไถ่เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท หมู ๕ กำ (หมูตัวหนึ่งยาว ๕ กำมือ) ต่อครอบครัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้สำหรับบริโภค จนชาวบ้านทนไม่ไหว ลุกขึ้นสู้ ยิงปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จอมพลถนอม กิตติขจร ใช้นโยบายกวาดล้างยุทธการ ๓ เลียบ ชาวบ้านจึงได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อสู้กับรัฐบาลยาวนานถึง ๑๔ ปี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ รัฐบาลจึงต้องประกาศใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ และ ๖๕/๒๕ เพื่อใช้การเมืองนำการทหาร และการเจรจายุติการยิง โดยมีข้อตกลงกับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จึงทำให้เหตุการณ์สงบลง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รัฐต้องให้สิทธิ์เรื่องสัญชาติไทยให้กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทุกคน และ สิทธิที่ทำกินให้กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยอีก
- รัฐต้องส่งเสริมสถานศึกษา เช่น โรงเรียนและการส่งบุตรเข้าโรงเรียนในเมือง
ความเข้มแข็งเริ่มจาการรวมตัวของกลุ่มชน
พื้นที่แห่งนี้จึงเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ด้วยความเข้มแข็งของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง จึงมีการรวมตัวขององค์กรชุมชนในนามเครือข่ายชมรมม้ง ๕ จังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมถึงการจัดตั้งเป็นเครือข่ายในระดับพื้นที่ คือ เครือข่ายเกษตรดอยยาว-ดอยผาหม่นขึ้นโดยมีสมาคมสร้างสรรค์ชีวิตและสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย ได้เสริมหนุนการดำเนินงาน มีพื้นที่ครอบคลุม ๓ ตำบล ๓ อำเภอ คือ ต.ปอ อ.เวียงแก่น ต.ตับเต่า อ.เทิง และ ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล มีการขับเคลื่อนแผนงานยุทธศาสตร์ ๗ เรื่อง ดังนี้
ยุทธศาตร์ที่ ๑ การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินตามนโยบาย ๖๖/๒๓ และ ๖๕/๒๕ รวมถึงสัญญา “ลูกผู้ชาย” ระหว่างรัฐบาลกับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในรูปแบบ โดย “โฉนดชุมชน
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ผลักดันการมีสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ที่ ๓ รณรงค์ฟื้นฟู อนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชนโดยองค์กรชุมชน โดยมีคณะทำงาน โดยชุมชน
ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจพึ่งตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทยดอยยาว-ดอยผาหม่น
ยุทธศาสตร์ที่ ๖ ฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรมชนเผ่าม้ง
ยุทธศาสตร์ที่ ๗ พัฒนาองค์กรเครือข่ายเกษตรกรดอยยาว-ผาหม่นให้เข้มแข็งก้าวหน้าและยั่งยืน คณะกรรมการเครือข่ายเกษตรกรดอยยาว – ดอยผาหม่น
โดยเครือข่ายเกษตรกรดอยยาว ดอยผาหม่นมีการขับเคลื่อนประเด็นการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ส่วนประเด็นอื่น ๆ ก็มีการทำงานแบบควบคู่กันไป
สภาองค์กรุชมชนตำบลทำให้มีสถานะทางการ
ต่อมาได้มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลปอ จัดตั้งเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ โดยมีหมู่บ้านเข้าร่วมในการจัดตั้งสภาฯ จำนวน ๑๗ หมู่บ้านจาก ๒๐ หมู่บ้าน มีองค์กรชุมชนจำนวน ๒๙ กลุ่ม/เครือข่าย โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าม้ง ส่วนคนพื้นเมืองยังไม่สนใจเข้าร่วมในการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน โดยพื้นที่ตำบลปอ อยู่ในเขตวนอุทยาน “ภูชี้ฟ้า” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย อยู่ในพื้นที่ความมั่นคงของทหาร อยู่ในเขตป่าสงวนแม่งาวฝั่งขวา มีระยะทางห่างจากตัวเมืองเชียงราย ๑๖๔ กิโลเมตร ประชากรทั้งสิ้น จำนวน ๔,๓๖๗ หลังคาเรือน ๑๕,๖๗๔ คน ชาย ๘,๒๒๖ คน หญิง ๗,๗๔๘ คน มีชนเผ่าที่หลากหลาย อาทิเช่น ไทลื้อ อาข่า จีนคณะชาติ ม้ง และคนพื้นเมือง
ปัญหาในพื้นที่ยังยืดเยื้อยาวนานจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากทางรัฐบาลยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ตามนโยบาย ๖๖/๒๓ บางส่วนถูกบุกรุกเพิ่มขึ้นเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวโพด หอมหัวใหญ่ กระหล่ำ ผักไม้ผลเมืองหนาว และปลูกยางพารามากขึ้น
คณะทำงานสภาองค์กรชุมชนตำบลปอ จึงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ โดยได้นำยุทธศาสตร์ของเครือข่ายเกษตรกรดอยยาว ดอยผาหม่น มาเป็นยุทธศาสตร์ของสภาองค์กรชุมชนตำบลปอ ประกอบกับอาศัยอำนาจและภารกิจตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลปอส่วนใหญ่มาจากผู้นำท้องที่และผู้เดือดร้อนในตำบลที่มาจากกลุ่ม/เครือข่ายต่าง ๆ ในตำบล
เมื่อมีการกลไก คณะทำงาน มีการจัดบทบาทตามความรู้ ความสามารถของแต่ละคนแล้ว มีแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงาน จึงเกิดการกำหนดแผนงานกิจกรรมการพัฒนาชุมชนระดับหมู่บ้านและตำบลดังนี้
๑) พัฒนาศักยภาพและการเสริมความรู้โดยฝึกอบรมการใช้แผนที่ ๑:๔๐๐๐ และการจัดทำข้อมูล GIS ในการพัฒนาข้อมูลแผนที่ในหมู่บ้านนำร่อง ๙ หมู่บ้าน ให้กับผู้นำและคณะทำงานในระดับตำบล และมีทีมคณะทำงานจำนวน ๑๐ คน
๒) การเดินสำรวจขอบเขตหมู่บ้าน แนวเขตป่า และข้อมูลรายแปลง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนแล้วเสร็จจำนวน ๙ หมู่บ้าน
๓) การพัฒนาข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนและการจัดการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ๑๗ หมู่บ้าน
๔) การพัฒนาข้อมูล GIS แล้วเสร็จจำนวน ๙ หมู่บ้านโดยคณะทำงานในตำบลที่สามารถจัดทำระบบข้อมูล รวมถึงการปรับแก้ไขข้อมูลได้เองหากพบข้อผิดพลาด
๕) การกำหนดกติกาชุมชน เพื่อการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากที่ดิน จำนวน ๙ หมู่บ้าน
๖) การส่งเสริมการออมเพื่อ จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินชุมชนแล้ว จำนวน ๑ หมู่บ้าน
๗) การประชุมเชื่อมโยงข้อมูล และแผนพัฒนาท้องถิ่นในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) กับ อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนได้รับการบรรจุแผนในข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี
๘) ประสานทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ประสานความร่วมมือกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินและเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน จังหวัดเชียงราย และภาคีความร่วมมืออื่น ๆ โดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ทุกระดับ นอกจากนี้ยังจัดให้มีการศึกษาดูงานของคณะทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการการดำเนินงานกับพื้นที่รูปธรรมอื่น ๆ ทั้งในและต่างจังหวัด เพื่อให้ผู้นำและคณะทำงานได้เปิดมุมมอง วิธีคิด วิธีการใหม่ มาปรับใช้ในพื้นที่
๙) ยื่นขอจัดโฉนดชุมชน ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓
ยิ่งดำเนินการ ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งปรับปรุงและแก้ไข
หลักความเชื่อของคนม้ง มักเชื่อมั่นในผู้นำหรือผู้อาวุโส ที่ควรแก่การเคารพและให้เกียรติ เมื่อผู้นำเห็นดีเห็นงาม ทุกคนก็พร้อมเข้ามีส่วนร่วม บางครั้งอาจรอให้สั่งการโดยไม่ล้ำหน้า ซึ่งอาจถึงได้ว่าเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในขณะเดียวกัน โดยจุดแข็งนั้นเมื่อผู้นำพร้อมเห็นด้วยจะทำให้สามารถดำเนินงานได้ดีและมีความร่วมมือ แต่บางครั้งผู้นำยังไม่ได้เห็นความสำคัญก็ทำให้แผนงานดำเนินไปอย่างล่าช้า
จุดเด่นของตำบลปอ มีผู้นำท้องที่ที่เข้าใจ มีคณะทำงานสภาองค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีในการทำงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะงานด้าน GIS แต่ผู้นำทุกคนส่วนใหญ่มักมีตำแหน่งและภารกิจหลักของตนเอง จึงทำให้มีการทบทวน ย้ำบทบาทหน้าที่ ย้ำแผนงานกิจกรรมที่วางไว้ รวมถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนแผนงานกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมายต่อการแก้ไขปัญหาของชุมชนท้องถิ่น
อุปสรรคส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบาย กฎหมายต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่อยู่ในเขตป่า โดยเฉพาะการขยายเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ถึงแม้หมู่บ้านชุมชนจะมีการตั้งถิ่นฐานมากว่า ๑๐๐ ปีแล้วก็ตาม รวมถึงสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ทำให้พื้นที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ คสช. และมีการจัดทำบันทึกความร่วมมือเพื่อขอคืนพื้นที่จากหน่วยงาน ยิ่งทำให้ชาวบ้านยิ่งหวาดระแวงและวิตกกังวลต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตตามวิถีชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศแห่งนี้มาช้านาน
แผนพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด
กระบวนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นที่ผ่านมา คณะทำงานยังตอบไม่ได้ว่าจะสิ้นสุดหรือสำเร็จได้เมื่อไหร่ เนื่องจากสถานการณ์ ผันแปร เปลี่ยนแปลงไปทุกวันเวลาที่ก้าวผ่าน แต่ทุกคนเห็นร่วมกันว่าการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีการสะสมข้อมูลข้อมูลปัญหา ข้อมูลสถานการณ์ ข้อมูลผู้เดือดร้อน ข้อมูลประวัติชุมชน ข้อมูลกติกาชุมชน ฯลฯ กลไก คณะทำงานเองก็ได้พัฒนาศักยภาพ ความรู้ ความสามารถเพิ่มขึ้น มีองค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา และที่สำคัญที่สุดเมื่อมีปัญหา ก็ทำให้กระบวนการคิดและค้นหาวิธีการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงมีการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการดำเนินงานไปตามสถานการณ์ แต่ยังคงแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรไว้อย่างเหนียวแน่นดังนี้
๑) การพัฒนาคนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อแนวคิดและเสริมหนุนงานด้านข้อมูล
๒) การถอดชุดประสบการณ์/บทเรียนการดำเนินงาน โดยมีเอกสาร หรือหนังสือการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับภายนอก
๓) การพัฒนาการใช้ประโยชน์บนที่ดิน ให้สอดคล้องกับวิถีการผลิตและเศรษฐกิจของชุมชน ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
๔) พัฒนาระบบข้อมูลให้เป็นปัจจุบันและสมบูรณ์ เพื่อนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจำแนกรายละเอียด เพื่อกำหนดแผนพัฒนาตำบลทุกมิติในระยะต่อไป
๕) พัฒนา/จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินให้สามารถแก้ไขปัญหาให้กับคนในชุมชนได้จริง
๖) ผลักดันข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ดิน