playlists faocebook CODINew icon_tw Intranet mail
ภาษาไทย english หน้าหลัก

Thapyang01ผืนดินคือชีวิตและลมหายใจ ใครไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกัน หัวอกเดียวกันกับเรา ไม่มีวันเข้าใจคำกล่าวของ ทัศนา นาเวศน์ แกนนำชาวบ้านชุมชนทับยาง

ชุมชนทับยาง หมู่ที่ 9 ตำบลท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เดิมทีชาวบ้านอาศัยอยู่ในท้องที่อำเภอทุ่งมะพร้าว มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีการปลูกมะพร้าวมาก มีท่าเรือใหญ่บริเวณปากน้ำลำแก่นที่เรือกลไฟเข้าจอดได้ มีการค้าขายกับต่างชาติ และมีการทำเหมืองหาบกันมากจนมีโรงถลุงแร่อยู่ที่ทุ่งมะพร้าว แต่ต่อมาท้ายเหมืองมีการทำเหมืองสูบกันมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณบ้านทับยางในปัจจุบันซึ่งเดิมเป็นเหมืองแร่ดีบุกอยู่ในเขตประทานบัตรเหมืองมานานนับร้อยปี ทำให้ก่อนปี พ.ศ. 2500 บริเวณบ้านทับยางเป็นพื้นที่เหมืองแร่ทั้งหมด ไม่มีบ้านคน มีเพียงชุมชนดั้งเดิมที่อยู่บริเวณตลาด

เมื่อกิจการเหมืองแร่ซบเซาเนื่องจากราคาแร่ตกต่ำลงและเหมืองแร่บางแปลงหมดอายุประทานบัตร ชาวบ้านจึงเริ่มอพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา โดยปลูกเป็นกระต๊อบเล็กๆอาศัยหลับนอน ทำงานเป็นกรรมกรเหมือง และมีอาชีพร่อนแร่ท้ายเหมืองสูบ จนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ถือประทานบัตรคนสุดท้ายคือนายยิ้ม จึงได้เกลี่ยดินขุมเหมืองและประกาศให้จับจองโดยคิดค่าเช่า จึงมีผู้คนมาจับจองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและร่อนแร่ จนกระทั่งเป็นชุมชนใหญ่ ทางการจึงยกขึ้นเป็นอำเภอและลดฐานะอำเภอทุ่งมะพร้าวลงเหลือเพียงตำบล ขึ้นกับอำเภอท้ายเหมือง และประมาณปี 2515 นายยิ้มได้นำที่ดินดังกล่าวไปขอออกเอกสารสิทธิ์และได้รับการออกเอกสารสิทธิ์จากทางการในที่สุด

ช่วงปี พ.ศ. 2534 - 2537  มีการฟ้องชาวบ้านข้อหาผิดสัญญาเช่าทั้งชุมชน ซึ่งปี พ.ศ. 2538 มีการรื้อบ้านนายอุดมที่ไม่ยอมคดี จนตรอมใจตายทั้งสามีและภรรยาในระหว่างการต่อสู้คดีความ ชาวบ้านแต่ละรายได้รวมเงินกันจ้างทนายต่อสู้คดีให้ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือและคำปรึกษาจากทนายเท่าที่ควร สุดท้ายชาวบ้านพบว่าตัวเองถูก ทนายหลอก” เพราะเอาเงินไปจำนวนมาก แต่ไม่ได้ช่วยให้คำแนะนำ ทำให้ชาวบ้านขาดนัดยื่นคำให้การ ขาดนัดพิจารณา ไม่สืบพยาน ฯลฯ จนทำให้คดีความแพ้ทั้งหมู่บ้านทำความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านจำนวนมาก

ปี พ.ศ. 2548- ปี พ.ศ. 2554 มีการขอผ่อนผันการบังคับคดีเป็นเวลา 4 ปี และมีมติคณะรัฐมนตรีให้ชาวบ้านฟ้องศาลปกครอง โดยให้กองทุนยุติธรรมเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีการชะลอการบังคับคดี  ให้ที่ดิน 170 ไร่กลับคืนมาเป็นที่ดินของรัฐ เนื่องจากอาจมีการออกเอกสารโดยมิชอบ และเสนอให้เป็นพื้นที่โฉนดชุมชนในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน 

คำถามสำคัญในประเด็นนี้คือเมื่อสิทธิในที่ดินพิพาทตกเป็นของรัฐ หลังหมดอายุสัมปทานเหมืองแล้วใครควรจะได้รับการรับรองสิทธิตามกฎหมาย  เนื่องจากชุมชนท้ายเหมืองมีระบบเศรษฐกิจดี จึงดึงดูดคนให้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานและหางานทำ จึงมีการขยายตัวของชุมชนท้ายเหมืองเดิมออกมาเป็นชุมชนบ้านทับยาง และบ้านทับยางก็ถือเป็นชุมชนที่ลงหลักปักฐานอยู่ถาวรแล้ว หากจะย้ายออกก็จะเป็นการไม่เป็นธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นซึ่งรัฐจัดสรรที่ดินให้คนจนคนไร้ที่อยู่ที่ทำกินได้มีที่อยู่อาศัยทำกิน

ทัศนา นาเวศน์ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันชุมชนบ้านทับยางมีสมาชิกรวม 68 หลัง 97 ครอบครัว จำนวนสมาชิก 350 คน  ที่มีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณี “มีการรวมตัวของเครือข่าย ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อต่อสู้คดี มีการร่วมมือกันและสร้างกติการ่วมกันเช่น ถ้าใครถูกฟ้องหรือครอบครัวไหนถูกไล่รื้อ เราจะรวมตัวกันช่วยปกป้อง เมื่อถึงเวลาที่ศาลนัด เราก็จะไปกันทั้งหมด  ที่ผ่านมามีการยื่นหนังสือร้องเรียนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกือบทุกหน่วยงาน มีการตรวจสอบจากหน่วยงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและภาคีความร่วมมืออื่นๆ สิ่งสำคัญคือเรามีการเชื่อมร้อยกับเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ 6 จังหวัด มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นและได้มองเห็นปัญหาความเดือดร้อนของตัวเอง มาการสมทบเงินจากผู้เดือดร้อนเพื่อตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยชุมชนบ้านทับยาง มีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งทุกคนถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันปกป้อง รักษาที่ดินสาธารณะ และมีเป้าหมายที่จะเสนอให้เกิด “ชุมชนจัดการตนเอง” และเสนอให้เป็นโฉนดชุมชน

“สิ่งสำคัญคือชาวบ้านยังไม่มีประบการณ์ก็มีองค์กร พี่เลี้ยงเพื่อให้คำปรึกษาส่งเสริมความเข้มแข็งและด้านกฎหมาย  เป็นหลักให้กับเราก็คือ “มูลนิธิชุมชนไท” เป็นเรื่องที่ดีที่องค์กรเหล่านี้ได้มองเห็นปัญหาของชุมชนเล็กๆ ทำให้เราได้มีโอกาสลุกขึ้นมาต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรม” ทัศนากล่าว

หลังเหตุการณ์สึนามิทำให้เกิดการสูญเสียและเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในพื้นที่แถบทะเลอันดามัน ทับยางเป็นหนึ่งในพื้นที่ประสบภัยพิบัติครั้งนี้ด้วย ทำให้เราได้รู้ว่าในพื้นที่จังหวัดพังงามีปัญหาเรื่องที่ดิน ที่อยู่อาศัยที่รุนแรง และก็ได้มีนักกฎหมายลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนายทุนฟ้องขับไล่ซึ่งก็รวมถึงทับยางด้วย

ตั้งแต่ต่อสู้มาจนถึงวันนี้สิ่งที่ได้จากการต่อสู้อันยาวนานเกือบ 10 ปี ทำให้เราได้เพื่อน ได้ภาคีเครือข่าย ได้ที่ปรึกษาทางด้านกฏหมายและองค์กรพัฒนา  สื่อมวลชน  สามารถช่วยเหลือได้มาก ร่วมกันวางแผนการทำงาน จังหวะและทิศทางการดำเนินไป

 สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการวางแผนการทำงานเรื่องที่อยู่อาศัย โครงการบ้านมั่นคง การสร้างความมั่นคงในชีวิต เพื่ออนาคตของลูกหลาน และการร่วมกันผลักดันกฎหมาย 4 ฉบับเพื่อคนจน และจะร่วมกันต่อสู้ ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่องราว การต่อสู้ให้กับพื้นที่ที่มีปัญหาเหมือนกัน

สุดท้ายเรามี การเตรียมข้อมูลในการฟ้องศาลปกครอง  เพราะข้อมูลคือสิ่งสำคัญ การที่จะทำอะไรให้สำเร็จ ลุล่วง เราจำเป็นต้องมีข้อมูล มีหลักฐาน เราไม่สามารถพูดด้วยวาจาแล้วทำให้คนเชื่อถือได้ เพราะสังคม หน่วยงานและศาลบ้านเราเขามองที่หลักฐานมากกว่าพยานบุคคล ทัศนากล่าว

วันที่ 24 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมานับเป็นวันดีแห่งชัยชนะก้าวแรกเมื่อชาวบ้านทับยาง กว่า 50 ชีวิตเดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลปกครอง กรณีออกเอกสารสิทธิ์และโฉนดที่ดินแก่เอกชนโดยมิชอบ เนื่องจากออกเอกสารสิทธิ์ทับทางสาธารณะชุมชน ปัญหา ที่ดิน ทับซ้อน ชุมชนทับยาง เนื้อที่ 78 ไร่  170 ไร่ ซึ่งการพิจารณาคดี เมื่อศาลปกครอง เลขที่ 972 ตัดสินให้มีการเพิกถอนที่ดินคืนแก่รัฐ นี่คือกำลังใจอันสำคัญที่ได้มาจากการต่อสู้อันยาวนาน ทั้งที่ 10 ปีก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้

การรวมตัวและการลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านและการสร้างภาคีความร่วมมือในหลากหลายภาคส่วน ทำให้ชาวบ้านทับยางสามารถผ่านพ้นปัญหาและวิกฤตร้ายๆไปได้ แม้วันนี้พวกเขาจะไม่ประสบผลสำเร็จเสียทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมได้เรียนรู้และเป็นต้นแบบของการลุกขึ้นสู้ปกป้องสิทธิและทรัพย์สินของแผ่นดิน

การที่ชาวบ้านทับยางเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการทำงาน ตรวจสอบและติดตาม พลังของชาวบ้านคือแรงผลักดันที่สร้างแรงกระเพื่อมทำให้คนในสังคมได้รับรู้และเรียนรู้การแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนเป็นอีกช่องทางที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโดยการนำเสนอประเด็นปัญหาเพื่อนำไปสู่ทางออกและวิธีการแก้ปัญหา

ตลอดระยะเวลาของการต่อสู้ ชาวบ้านทับยางเลือกที่จะเดินเข้าไปหาภาคีและสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ใช่อยู่อย่างคนแพ้เพื่อรอให้ผู้อื่นมาแก้ปัญหาให้

 

 

แบ่งปัน
Submit to FacebookSubmit to Google PlusSubmit to Twitter