playlists faocebook CODINew icon_tw Intranet mail
ภาษาไทย english หน้าหลัก

 DSCF8539

บริเวณชายฝั่งและตามเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามัน มีชนเผ่าชาวเล ทั้งอุรักลาโว้ย มอแกน มอแกลน อพยพมาจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย เข้ามาอาศัยอยู่กว่า 300 ปีมาแล้ว โดยประกอบอาชีพประมงและปลูกพืชเพื่อยังชีพ ไม่มีการแสดงกรรมสิทธิในที่อยู่อาศัย ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เป็นชนเผ่าที่มีวิถีวัฒนธรรมความเชื่อ มีพื้นที่ทางจิตวิญญาณและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

          ปัจจุบันมีชาวเล ตั้งรกรากที่มั่นคงเช่น ชาวเลแหลมตรง (เกาะพีพี) กระบี่ เกาะหลีเป๊ะและหมู่เกาะอาดัง จ.สตูล ชาวเลแหลมตุ๊กแกและราไวย์ จ.ภูเก็ต ชาวเลหมู่เกาะสุรินทร์ บ้านทุ่งหว้า และบริเวณชายฝั่ง จ.พังงา ฯลฯ รวม 5 จังหวัด จำนวน 41 ชุมชน ประมาณ 13,000 คน ซึ่งล้วนยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นอยู่ของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น โดยเกือบทั้งหมดมีสิทธิความเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนและล้วนได้รับพระราชนามสกุลจากสมเด็จย่า

          185099 444513388933855 235927699 nปัญหาที่สำคัญของชาวเล มีหลายประการด้วยกัน 1) ปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ทั้งๆ ที่อยู่อาศัยมายาวนาน ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า  25  ชุมชนที่ไม่มีเอกสารสิทธิในดิน ทั้งที่ดินรัฐและที่ดินเอกชนอ้างสิทธิ์ 2) ปัญหาสุสานและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมถูกรุกราน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณชายหาดริมทะเล จากการสำรวจพบว่ากำลังมีปัญหาถึง 15 แห่ง  3) ปัญหาที่ทำกินในทะเล แต่เดิมชาวเล หากินตามเกาะแก่งและหน้าหาด แต่ปัจจุบันมีการห้ามชาวเลไม่ให้เข้าไปหากินในที่ทำกินดั้งเดิม 4)  ปัญหาสุขภาพ มาจากหลายประการ อาทิเช่น  ต้องดำน้ำลึกขึ้นทำให้หลายคนต้องพิการ การเข้าไม่ถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ความยากจน ฯลฯ  5)  การศึกษาเด็กเยาวชนชาวเลได้รับโอกาสในการศึกษาน้อยและหลักสูตรไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม  6)  สูญเสียความภาคภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมเพราะขาดการส่งเสริมที่ดี   7) การไร้สถานะบุคคล มีชาวเลกว่า 500 คนที่เป็นผู้ไร้สถานะไร้สิทธิพื้นฐาน    8) ชาวเลเผชิญกับอคติชาติพันธุ์ของคนในสังคม  ทำให้การแก้ปัญหาต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า 

          โดยภาพรวม ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล  เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มาจากการพัฒนาที่ไม่สมดุลย์  โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว  การประกาศเขตอนุรักษ์ของรัฐ และอคติชาติพันธุ์  ส่งผลให้เบียดขับวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวเล   เช่น  ความต้องการใช้ที่ดินและทะเลเพื่อการท่องเที่ยวทำให้ชาวเลถูกขับออกจากพื้นที่ด้วยวิธีการต่างๆโดยเฉพาะในหลายพื้นที่ใช้วิธีการที่รุนแรง ข่มขู่คุกคาม ฟ้องขับไล่      การประกาศเขตหวงห้ามของรัฐที่มีมาทีหลัง  ทำให้ชาวเลไม่มีสิทธิเข้าไปหากินในที่ทำกินดั้งเดิมที่เคยหากินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ   การไม่มีความรู้ทางกฎหมายและปัญหาอคติชาติพันธุ์ของสังคมทำให้ไม่มีความสนใจในการแก้ปัญหาชาวเล    ส่งผลให้คุณภาพชีวิตชาวเลตกต่ำ  ประกอบกับชาวเลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่รักสงบ  มีวิถีหาอยู่หากินกับธรรมชาติ  ไม่สะสม ขาดความรู้เรื่องกฎหมายมักถูกหลอกถูกเอาเปรียบ  จึงเป็นกลุ่มเปราะบางที่สังคมควรปกป้องเพื่อรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม  และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

         IMG 5167 resizeDSCF2115 resize

ทั้งนี้เมื่อวันที่  2  มิถุนายน 2553  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล  และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปปฏิบัติ  ประกอบด้วย  การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย  การประกอบอาชีพประมง  การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข   การแก้ปัญหาสัญชาติ การส่งเสริมด้านการศึกษา / ทุน  /หลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต  การแก้ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์  การส่งเสริมด้านภาษาและวัฒนธรรมของชาวเล  การส่งเสริมชุมชนและเครือข่ายชาวเลให้เข้มแข็ง รวมทั้งให้มีงบประมาณส่งเสริม วันนัดพบวัฒนธรรมชาวเล    

         IMG 1515 1 resize

  ตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านไป การแก้ปัญหาต่างๆยังไม่บรรลุผล อันเนื่องจากปัญหาเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน  จึงต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งองค์กรทั้งภาครัฐ   ภาคเอกชน  องค์กรพัฒนาเอกชน   องค์กรท้องถิ่น  จังหวัด นักวิชาการและชุมชนชาวเล  ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณชุมชนชาวเลขึ้นมา โดยมีพลเอกสุรินทร์ พิกุลทองเป็นประธาน ฯ โดยมีนักวิชาการ และตัวแทนชาวเลเป็นกรรมการ

          ในการดำเนินงานของคณะกรรมการจะเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเป็นปัจจัยสำคัญ จึงได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นรายพื้นที่หลายคณะด้วยกัน โดยมีแนวทางการทำงานในแต่ละเรื่องที่ชัดเจนดังนี้

1) การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นกรณีเกาะหลีเป๊ะ ชาวเลแหลมตุ๊ก ชาวเลราไวย์ แหลมตง (เกาะพีพี) ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีความสลับซับซ้อนทางด้านข้อมูล ด้วยปัญหาสะสมมาเป็นเวลานานและถูกละเลยไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่ละฝ่ายก็มีข้อมูลคนละชุดและต่างก็ยึดถือข้อมูลของตนเองเป็นหลัก ดังนั้นภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้คือ ให้แต่ละส่วนจัดทำข้อมูลของตนเองขึ้นมา ทั้งการตั้งถิ่นฐาน ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ เอกสารทางราชการ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางจิตวิญญาณ ต้นไม้ สิ่งก่อสร้าง ฯลฯ แม้แต่ชาวบ้านเองก็ต้องจัดทำข้อมูลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยมีมูลนิธิชนไทและสถาบันวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคอยสนับสนุน แล้วจัดส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นผู้ประมวลให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งข้อมูลที่ DSI ประมวลจะถือเป็นเอกสารสำคัญในการตัดสินใจดำเนินงานต่อไป

           2) การแก้ปัญหาการประกอบอาชีพของชุมชนชาวเล ซึ่งหลัก ๆ ก็คือทางการประกาศเขตอุทยานทับที่ชาวเล และห้ามไม่ให้ชาวเลจับสัตว์น้ำในท้องทะเลบริเวณอุทยาน ทั้ง ๆ ที่พื้นที่เหล่านี้ชาวเลหากินกันมานับร้อยปี การแก้ปัญหานี้ได้การตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา โดยมีแนวทางในการผ่อนปรนให้ชาวเลหากินในเขตอุทยานได้ แต่มีการกำหนดเครื่องมือที่เป็นวิถีดั้งเดิมของชาวเล ตลอดจนกำหนดปริมาณและช่วงเวลาของการจับสัตว์น้ำไว้ด้วย



3)ประการสุดท้ายก็คือ พื้นที่ทางจิตวิญญาณหรือที่ฝังศพ ซึ่งชาวเลจะอาศัยป่าเป็นที่ขุดหลุมฝังศพผู้เสียชีวิตมาหลายชั่วอายุคน แต่ปัจจุบันที่ดินมีราคาสูง ประมาณการว่าพื้นที่ฝังศพทุกแห่งรวมกันมีมูลค่านับพันล้าน ล้วนตั้งอยู่ใกล้ทะเล มีความสวยงามตามธรรมชาติ จึงเป็นที่หมายปองของนักลงทุนทั้งหลาย ไม่ต่างอะไรจากที่อยู่อาศัย ดังนั้นพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวเลเกือบทุกแห่งจึงกลายเป็นที่หมายปองของนายทุน จนทำให้ชาวเลหลายแห่งไม่มีแม้ที่จะฝังศพ ดังนั้นคณะกรรมการจึงได้มีการสำรวจพื้นที่ทางจิตวิญญาณอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา

นี่คือปัญหาหลัก ๆ ที่ยังแก้ไม่เสร็จสิ้น แต่แม้ว่าปัญหาจะรุมเร้าสักเพียงไร การรวมตัวของชาวเลก็ยังเกิดขึ้นต่อไป โดยชาวเลจะมีการนัดหมายกันทุกปี มารวมตัวกันในงาน “รวมญาติชาวเล” โดยในปีนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย.2558 ณ. อำเภอเกาะลันตาใหญ่   จังหวัดกระบี่ เพื่อเชื่อมโยงพี่น้อง สร้างความมั่นใจ ในการต่อสู้กับปัญหาร่วมกันและสร้างความภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง

         

           20151028104645





แบ่งปัน
Submit to FacebookSubmit to Google PlusSubmit to Twitter