playlists faocebook CODINew icon_tw Intranet mail
ภาษาไทย english หน้าหลัก

 

12290442 1073183169367796 1085768290 o

บ้านแม่คองซ้าย เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง หรือปกาเกอญอ   หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 1 ต.เมืองคอง   อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ด้านหลังดอยหลวงเชียงดาวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากถนนสายเล็กๆ ทางเข้าบ้านถ้ำลัดเลาะไปเรื่อยๆ จากปากทางเข้าถ้ำเชียงดาวซึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ ในหมู่บ้านเลียบสันเขาขึ้นไปประมาณ 20 กิโลเมตร  ก็จะเห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านแม่คองซ้าย  จากถนนเชียงดาว – เมืองคอง ถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเป็นทางเส้นเล็กๆ กว้างประมาณ 5 เมตร เป็นทางลูกรังสลับกับถนนคอนกรีต เป็นช่วงๆ   เดิมทีทางที่ชาวบ้านได้ใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านกับโลกภายนอก เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจช่วยกันขุดเพื่อให้รถจักยานยนต์ในหมู่บ้านวิ่งเข้า–ออกได้สะดวกขึ้นในยามที่จำเป็นต้องออกมาทำธุระติดต่อกับภายนอก
ตลอดสองข้างทางเข้าหมู่บ้านจะเห็นว่าทรัพยากรป่าไม้ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่อย่างเห็นได้ชัด   และจะสังเกตเห็นป้ายไม้ที่เขียนด้วยลายมือของชาวบ้านบอกแนวเขตการจัดการป่าชุมชนเป็นระยะๆ บางป้ายเก่าจนสีที่เขียนในแผ่นป้ายซีด ซึ่งบ่งบอกถึงได้ว่าชุมชนแห่งนี้มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรมมาอย่างยาวนานนั่นเอง
ชาวบ้านแม่คองซ้ายมีประชากรทั้งหมด 25 ครัวเรือน นับถือศาสนาพุทธ(ผี) และศาสนาคริสต์ ถึงแม้ว่าคนในชุมชนจะนับถือศาสนาที่แตกต่างกันแต่ก็มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเป็นชุมชนมีขนาดเล็กๆ จึงอยู่อาศัยร่วมกันอย่างสงบสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน นอกจากนี้แล้ว การดำรงวิถีชีวิตที่อยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาดอยหลวงเชียงดาว  ซึ่งมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าหลวงคำแดง ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงดาวทั้งที่อยู่อาศัยบนดอยสูงหรือที่อยู่ในบริเวณพื้นราบในตัวอำเภอ  ความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เห็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านแม่คองซ้ายและบ้านแม่ป่าเส้าเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนและสืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผ่านคำสอน  บทธา(บทเพลงปกาเกอญอ)จากรุ่นสู่รุ่น  วิถีชีวิตของชาวบ้านจึงพึ่งพิงและผูกพันอยู่กับป่าและสายน้ำแม่คองซ้าย (ที่มาของชื่อหมู่บ้าน) เป็นหลัก

ในปี 2496 เจ้าหน้าที่อำเภอได้เริ่มเข้ามาเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในส่วนที่เป็น นา และ สวนเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น ปี 2507 ทางอำเภอเชียงดาวได้เข้ามาสำรวจข้อมูลประชากรเพื่อออกบัตรประชาชนและทำสำเนาทะเบียนบ้านให้กับชาวบ้านทุกครัวเรือน

สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนผันเมื่อนโยบายรัฐเข้ามา!!
สถานการณ์ที่เกี่ยวกับป่าไม้และที่ดินที่สำคัญๆ เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2512 ได้มีนายทุนพยายามที่จะเข้ามาทำไม้ โดยอ้างว่าได้รับการสัมปทานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการตีตราต้นไม้เตรียมตัดและชักลาก แต่ถูกชาวบ้านโดยการนำของผู้นำทางความเชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเรียกว่า “ฮีโข่” ได้ร่วมกันคัดค้านการทำไม้ของนายทุนที่เข้ามา และสุดท้ายก็สามารถต้านทานอำนาจนายทุนให้ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป ปัจจุบันยังสามารถพบเห็นหลักฐานการตีตราที่เป็นตัวเลขอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ในเขตป่าชุมชนบ้านแม่คองซ้ายได้โดยทั่วไป เหตุการณ์นี้นับว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ผืนป่ายังคงอุดมสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ และได้สะท้อนพลังของชุมชนที่สามารถปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนไว้ได้

แต่ต่อมาปี 2516  กรมป่าไม้ได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาวขึ้นในท้องที่อำเภอเชียงดาวเกือบทั้งหมด ซึ่งการประกาศเขตป่าสงวนดังกล่าวได้ประกาศซ้อนทับพื้นที่ทั้งหมดของชุมชนบ้านแม่คองซ้าย และบ้านแม่ป่าเส้าหมู่บ้านที่อยู่ติดกันซึ่งเปรียบเสมือนบ้านพี่เมืองน้อง การประกาศเขตป่าของรัฐไม่มีการแจ้งข่าว หรือบอกกล่าวให้ชาวบ้านได้รับทราบล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่มีการกันพื้นที่ของชุมชนออกก่อนที่จะมีการประกาศแต่อย่างใด  และจุดหักเหที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2519กรมป่าไม้โดยกองอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ส่งนักวิชาการป่าไม้เข้ามาทำการสำรวจสภาพป่าเชียงดาว เพื่อยกระดับเตรียมการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และปี พ.ศ.2521ก็ได้มีการประกาศเขตรักษาพันธุ์ดอยเชียงดาวดังกล่าวมีผลคลอบคลุมรวมพื้นที่ประมาณ 521 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 325,625 ไร่ ส่งผลให้พื้นที่ทั้งหมดของบ้านแม่คองซ้าย ถูกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาวประกาศทับอีกชั้นหนึ่ง  สิทธิชุมชนในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและที่ดินเริ่มถูกลิดรอนลง เมื่อเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์เข้ามาอ้างสิทธิเหนือที่ดินและทรัพยากร
สถานการณ์เริ่มคุกรุ่นและส่อเค้าความรุนแรงขึ้นหลังจากประเทศไทยประกาศปิดสัมปทานป่าไม้ ตั้งแต่ปี 2532  และหันมาส่งเสริมนโยบายการอนุรักษ์ให้มีความเข้มงวดขึ้น   ปี 2536 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาวก็สนองนโยบายดังกล่าวโดยมีแผนการอพยพโยกย้ายชุมชนบ้านแม่คองซ้าย และแม่ป่าเส้าออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่าสองหมู่บ้านอยู่ในเขตต้นจะต้องย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่บ้านเมืองคอง ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านคนเมือง  หลังการประกาศนโยบายดังกล่าวชาวบ้านต่างวิตกกังวลต่ออนาคตที่ไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย  ต่างวิตกว่าหากโยกย้ายชุมชนตามคำสั่งของทางราชการอาจจะเกิดปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ทำกินกับชาวบ้านเดิมที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่มีเจ้าของพื้นที่จับจองทำกินก่อนหน้าแล้วทั้งสิ้น ประกอบกับแผนการรองรับการอพยพโยกย้ายก็ไม่มีความชัดเจนไม่สามารถเป็นหลักประกันที่จะบอกได้ว่าถ้าหากชุมชนโยกย้ายไปแล้วจะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขหรือไม่  นอกจากนี้ชาวบ้านต่างกังวลว่าอาจเกิดปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วัฒนธรรม การทำมาหากิน และอื่น ๆ 


12290685 1073183559367757 788911716 o

รวมตัว หาเพื่อน สร้างเครือข่ายเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหา

ชาวบ้านได้มีการพูดคุยหาทางออกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน  จนในที่สุดเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2537 ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายชาวบ้านที่อยู่ในเขตป่ารวมตัวกันเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาระดับนโยบาย ส่งตัวแทนหมู่บ้านเข้าร่วมชุมนุมกับเครือข่ายสมัชชาคนจน ปลายปี 2539 –  2540  จำนวน 99 วัน จนในที่สุดก็สามารถชะลอแผนการอพยพชุมชน โดยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเดินรังวัดแนวเขตโดยคณะทำงานระดับอำเภอซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นตามข้อเรียกร้องของชุมชน และเครือข่ายฯ แต่กระบวนการแก้ไขปัญหาก็ไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่ด้วย

       นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านเริ่มออกมาเรียนรู้ และเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ เรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาระดับนโยบายร่วมกับเครือข่ายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) จนถึงปัจจุบันชาวบ้านก็ยังเป็นสมาชิกเครือข่ายประชาชนระดับประเทศในนามของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือที่เรียกว่า P-Move
ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินและทรัพยากรก็ตาม แต่คนในชุมชนก็ไม่ย่อท้อยังคงเดินหน้าด้วยการกลับมาสร้างรูปธรรมในการจัดการที่ดินและทรัพยากรของชุมชนด้วยตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูล เครื่องมือ องค์ความรู้และบุคคลากรจากมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือเริ่มแรกชุมชนได้พยายามพัฒนารูปธรรมในการจัดการป่าชุมชนโดยการประยุกต์เอาวิถีปฏิบัติดั้งเดิม ความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่า มาสู่การจัดทำขอบเขตพื้นที่ประเภทต่าง ๆ ทั้งป่าชุมชนใช้สอย ป่าชุมชนอนุรักษ์ และ ที่ทำกิน การร่างกฎระเบียบป่าชุมชน การจัดตั้งคณะกรรมการป่าชุมชนเพื่อดูแลและควบคุมให้เป็นไปตามข้อตกลงของชุมชนคณะกรรมการป่าฯ ประกอบไปด้วย ผู้นำชุมชน ผู้อาวุโส และเยาวชน

นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นกิจกรรมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าซึ่งจะเป็นแหล่งอาหาร สมุนไพร และประโยชน์ใช้สอยอื่นๆที่ยั่งยืนของชุมชนในระยะยาวต่อไป กิจกรรมที่ชุมชนทำเป็นประจำทุกปี ได้แก่ การเดินตรวจป่าชุมชน  การซ่อมแซมติดป้ายแสดงแนวเขตป่าชุมชน การทำแนวกันไฟ ซึ่งจะทำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี การดับไฟป่ากรณีที่เกิดไฟไหม้ไม่มีการยกเว้นแม้แต่ตอนกลางคืน

12277192 1073182936034486 1651270752 n
ชาวบ้านกับการดูแลรักษาป่า

การดูแลรักษาป่าชาวบ้านที่นี่ส่งผลทำให้ บ้านแม่คองซ้ายเป็นชุมชนที่อุดมไปด้วย ปลา ผักป่า และสมุนไพรนานาชนิด ภายในชุมชนสามารถพึ่งตัวเองได้จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าชุมชนบ้านแม่คองซ้ายจะเป็นชุมชนเล็กๆ ที่อยู่อาศัยในอ้อมกอดแห่งขุนเขานี้  แต่ชาวบ้านสามารถดูแลรักษาป่า ถึง 10,145 ไร่ ให้คงสภาพความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรป่าไม้ สายน้ำแม่คองซ้ายเป็นต้นกำเนิดของนำแม่แตงลำน้ำสาขาที่สำคัญสายหนึ่งที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง   การจัดการป่าชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนจนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ถึง 2 ครั้ง สามารถเป็นเครื่องชีวัดและทำให้ชาวบ้านได้รับการยอมรับจากสังคมภายนอกมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากรูปธรรมในการจัดการป่าชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติแล้ว เรื่องราวของบ้านแม่คองซ้ายและบ้านแม่ป่าเส้ายังไม่หมดลงแต่เพียงเท่านี้  ติดตามบทความพิเศษตอนต่อไป ว่าด้วยเรื่องการจัดการที่ดินโดยชุมชน หรือว่า โฉนดชุมชนแบบชาวบ้านว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร และโฉนดชุมชนจะนำพาชาวบ้านไปสู่การจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างยั่งยืนได้อย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ


รายงานโดย ปุณญภัส  กมลเนตร  ผู้สื่อข่าวชุมชนประเด็นที่ดินภาคเหนือ

แบ่งปัน
Submit to FacebookSubmit to Google PlusSubmit to Twitter