บทความโดย เพ็ญศรี คีรีรอบ

“กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล” เป็นกองทุนที่ชาวบ้านในแต่ละตำบลร่วมกันจัดตั้งขึ้นมา และบริหารจัดการกันเอง โดยนำเงินที่ชาวบ้านร่วมกันสมทบหรือบริจาคเข้ากองทุนฯ มาจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกครบวงจรชีวิตหรือในยามที่เดือดร้อน ซึ่งต่อมาได้ขยายไปสู่การหนุนเสริมกิจกรรมของส่วนรวมในระดับตำบล เช่นการนำไปฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ การประกอบอาชีพของสมาชิกเป็นต้น กองทุนสวัสดิการเป็นการต่อยอดมาจากกองทุนต่างๆที่ชาวบ้านร่วมกันดำเนินการ โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนด้วยการสมทบเงินผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนเข้าสู่กองทุนฯ โดยตรงตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา และต่อมาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล จึงร่วมสมทบด้วย ในอัตรา 1 : 1 : 1 เช่น กองทุนฯ มีเงินสมทบจากสมาชิกจำนวน 100,000 บาท รัฐบาลและองค์กรปกครองท้องถิ่นสมทบรายละ 100,000 บาท เพื่อให้กองทุนฯ เติบโตขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและองค์กรปกครองท้องถิ่นไม่ได้สมทบเงินเข้ากองทุนสวัสดิการชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลแต่ละชุด และสถานะการเงินขององค์กรปกครองท้องถิ่นแต่ละแห่งด้วย แต่กองทุนสวัสดิการเหล่านี้ก็เติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริหารจัดการและพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก จนถึงปัจจุบันมีกองทุนสวัสดิการชุมชนทั้งในระดับตำบลและเทศบาลทั่วประเทศ รวมกันจำนวน 6,149 กองทุน มีสมาชิกรวม 5,244,453 คน มีเงินกองทุนรวมกันทั้งหมดกว่า 11,602ล้านบาทเศษ

แม้ในภาพรวมกองทุนสวัสดิการชุมชนเหล่านี้จะมีความเข้มแข็ง สามารถให้ความช่วยเหลือสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง บางกองทุนฯ ดำเนินการมานานกว่า 10 ปี มีเงินกองทุนฯ กว่า 10 ล้านบาท เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลหนองพ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 5,500 คน ช่วยเหลือสมาชิกตั้งแต่เกิดจนตาย และยังขยายไปสู่การพัฒนาด้านต่างๆ เช่น นำเงินกองทุนไปจัดตั้งเป็นธนาคารรับซื้อขยะรีไซเคิล ซื้อที่ดินและสร้างบ้านให้แก่คนในชุมชนที่ยากไร้ได้ 6 หลัง ฯลฯ
แต่ในขณะเดียวกัน กองทุนสวัสดิการชุมชนบางแห่งยังขาดประสบการณ์ ทำให้บริหารงานผิดพลาด จนนำไปสู่การร้องเรียน กล่าวหาว่ามีการทุจริต เกิดเรื่องราวเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังในที่มีสมาชิกและกรรมการบางคนร้องเรียนว่ากองทุนฯ มีการทุจริตทำให้เงินกองทุนประมาณ 5.6 ล้านบาทหายไป เหลือเงินติดบัญชีไม่ถึง 2,000 บาท !!
บทเรียนจากกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังใน
กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังใน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ก่อตั้งกองทุนในปี 2549 โดยให้สมาชิกสมทบเงินเข้ากองทุนเป็นรายเดือนๆ ละ 30 บาท หรือปีละ 365 บาท เมื่อเป็นสมาชิกครบ 6 เดือนจึงจะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุน เช่น คลอดบุตร 500 บาท เสียชีวิต 2,500-12,000 บาท (ตามอายุการเป็นสมาชิก) เริ่มแรกมีสมาชิกเพียง 13 คน ต่อมาสมาชิกขยายตัวมากขึ้น เพราะเห็นว่ากองทุนช่วยเหลือสมาชิกได้จริง และขยายไปสู่ 18 หมู่บ้านในตำบล (ทั้งตำบลมี 21 หมู่บ้าน) โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านละ 1 คน
วสันต์ น้อยพลี ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังใน เล่าว่า ตนเองไม่เคยมีตำแหน่งใดๆ ในหมู่บ้านหรือในตำบลมาก่อน แต่ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นประธานกองทุนฯ เนื่องจากเคยประสานงานร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ในการทำโครงการเกี่ยวกับการฟื้นฟูชุมชน โดยการขุดลอกแหล่งน้ำในหมู่บ้าน ในช่วงปี 2546 มาก่อน
ต่อจากนั้นเมื่อรู้ข่าวว่าทาง พอช.มีโครงการส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล ตนจึงนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการมาขยายผล มีการหารือกับชาวบ้าน เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ จนขยายไปสู่กลุ่มใหญ่ โดยมีเจ้าหน้าที่จาก พอช.เข้ามาให้คำแนะนำ ส่วนการร่างระเบียบข้อบังคับของกองทุนฯ ก็เอาตัวอย่างมาจากกองทุนฯ อื่นๆ เช่น กองทุนของครูชบ ยอดแก้ว จากจังหวัดสงขลา ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบแห่งหนึ่งที่กองทุนฯ ทั่วประเทศได้นำมาปรับใช้
“ตอนก่อตั้งกองทุนฯ เราก็เอาระเบียบของครูชบมาใช้ โดยเฉพาะระเบียบเรื่องการคืนเงินให้แก่สมาชิกเมื่อลาออก ซึ่งตอนนั้นเราไม่คิดว่าจะมีปัญหา โดยระเบียบกำหนดว่าหากสมาชิกที่ไม่เคยได้รับสวัสดิการ เมื่อลาออกกองทุนฯ จะคืนเงินให้ 100% และกรณีสมาชิกเคยได้รับสวัสดิการแล้ว หากลาออกจะคืนเงินให้ 90% แต่พอตอนหลังๆ มีสมาชิกมาลาออกเยอะ และกองทุนก็จ่ายสวัสดิการต่างๆ ไปเยอะ ทำให้เงินของกองทุนร่อยหรอลง” วสันต์เล่า
สาเหตุที่สมาชิกลาออกจากกองทุนฯ วสันต์บอกว่า สมาชิกบางคนเมื่อสมทบเงินเข้ากองทุนไปได้ 3-4 ปี (เงินสมทบปีละ 365 บาท) จะมีเงินสมทบประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป เมื่อถึงคราวขัดสนหาเงินจากที่ไหนไม่ได้ก็จะมาขอลาออกเพื่อเอาเงินไปใช้จ่ายเฉพาะหน้า บางคนเมื่อได้รับสวัสดิการไป 500 บาท หรือ 1,000 บาทก็ถือว่าคุ้มแล้ว ไม่อยากเป็นสมาชิกต่อก็มาขอลาออก แถมยังได้เงินสมทบกลับคืนอีก ขณะที่กองทุนสวัสดิการอื่นๆ จะไม่คืนเงินสมทบให้เพราะถือว่าเป็นเงินบริจาคเข้ากองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากวสันต์และคณะกรรมการกองทุนฯ คนอื่นๆ ไม่ได้ชี้แจงกับสมาชิกตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนฯ ว่าเงินที่แต่ละคนสมทบเข้ากองทุนฯ นั้นเป็นเงินบริจาค เมื่อลาออกจะไม่ได้เงินคืน แถมในระเบียบข้อบังคับก็กำหนดว่ากองทุนฯ จะคืนเงินให้แก่สมาชิกเมื่อลาออกดังที่กล่าวไปแล้ว เมื่อมีสมาชิกมาลาออกปีละหลายร้อยคนจึงทำให้เงินกองทุนฯ ที่จ่ายคืนให้แก่สมาชิก รวมทั้งจ่ายสวัสดิการต่างๆ หมดลงไปทุกปีๆ
ต่อมาในปี 2557 โดยคำแนะนำของคณะกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสระแก้ว ซึ่งถือว่าเป็นพี่เลี้ยงของกองทุนสวัสดิการต่างๆ ในจังหวัดสระแก้ว ได้เสนอให้กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังในจัดประชุมกรรมการและสมาชิกเพื่อแก้ไขระเบียบดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบปรับแก้ระเบียบการคืนเงินให้แก่สมาชิกที่ลาออกจากกองทุน คือ 1.หากสมาชิกที่ไม่เคยได้รับสวัสดิการ เมื่อลาออกจะคืนเงินให้ 100% แก้เป็น คืนเงินให้ 80% 2.กรณีสมาชิกเคยได้รับสวัสดิการแล้ว หากลาออกจะคืนเงินให้ 90% แก้เป็น คืนเงินให้ 50% จึงทำให้คณะกรรมการบางหมู่บ้านเกิดความไม่พอใจที่มีการแก้ไขระเบียบ และเตรียมชักชวนชาวบ้านในหมู่ต่างๆ มาลาออก โดยอ้างว่ามีการแก้ไขระเบียบโดยกรรมการและสมาชิกส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องและไม่เห็นด้วย
จ่ายเงินให้สมาชิกที่ลาออกกว่า 1,000 คนเป็นเงินกว่า 1.5 ล้านบาท
ในปี 2557 มีสมาชิกลาออกรวม 334 คน ต่อมาในปี 2558 สมาชิกลาออกอีก 169 คน ซึ่งทางกองทุนฯ ก็ได้จ่ายเงินคืนให้ตามระเบียบใหม่ รวมสมาชิกที่ลาออกทั้งหมด (ลาออกก่อนหน้านี้ 535 คน) จำนวน 1,030 คน รวมเป็นเงินที่จ่ายคืนให้สมาชิกทั้งหมด 1,591,744 บาท จึงทำให้เงินของกองทุนฯ ลดลง
นอกจากนี้กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังใน ในช่วงที่ผ่านมามีรายจ่ายด้านสวัสดิการค่อนข้างสูง ทำให้สถานะของกองทุนติดลบ คือ มีรายรับรวม 5,612,346 บาท (แยกเป็นเงินออมวันละบาทจากสมาชิก จำนวน 2,675,516 บาท เงินสมทบของรัฐบาลผ่าน พอช. จำนวน 2,691,530 บาท เงินสนับสนุนจาก อบต.ตาหลังใน จำนวน 109,500 บาท และดอกเบี้ยจากการให้สมาชิกกู้ยืม จำนวน 135,820 บาท)
ขณะที่กองทุนฯ มีค่าใช้จ่ายต่างๆรวม 5,766,021 บาท แยกเป็นรายจ่ายเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บป่วย ตาย รวม 3,014,255 บาท เงินกู้ 80,000 บาท สมาชิกลาออก 1,591,744 บาท คืนเงินออมผู้เสียชีวิต 200,713 บาท ค่าบริหารจัดการและอื่นๆ 879,309 บาท รวมมีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 153,675 บาท
ต่อมาในช่วงปลายปี 2559 คณะกรรมการหลายหมู่บ้านได้พาชาวบ้านมาลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนอีกเกือบ 1,000 คน ทางกองทุนฯ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสถานะเงินกองทุนติดลบจึงไม่มีเงินจ่ายคืนให้แก่สมาชิก ประกอบกับสมาชิกที่เหลือทั้งหมดหยุดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ จึงทำให้กองทุนฯ ไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอที่จะจ่ายเงินคืนให้แก่สมาชิกที่ลาออกครั้งละมากๆ (สมาชิกออมเงินรวมปีละ 365 บาทต่อคน หากเป็นสมาชิกครบ 10 ปี ก็จะมีเงินออมที่ส่งเข้ากองทุนประมาณคนละ 3,650 บาท) หรือรวมเป็นยอดเงินที่ยังไม่ได้รับเมื่อสมาชิกลาออกทั้งหมดประมาณ 2 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีในขณะนี้จำนวน 1,950.59 บาท
ทั้งนี้กลุ่มผู้ร้องเรียนได้เริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 โดยร้องเรียนตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ร้องเรียนได้มายื่นหนังสือผ่านทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาลถึงนายกรัฐมนตรี กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกลับไปร้องเรียนต่อทางผู้ว่า ฯจ.สระแก้ว รวมทั้งแจ้งความที่ สภ.วังน้ำเย็นด้วย ซึ่งล่าสุดนี้ทางจังหวัดได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนคงจะรู้ผล
อย่างไรก็ตาม เรื่องทางคดีหรือการตรวจสอบของคณะกรรมการก็คงจะต้องว่ากันต่อไป แต่จากมุมมองของผู้เขียนที่ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามข้อมูลอย่างน้อย 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังพลอีกว่า พื้นที่ตำบลตาหลังในเป็นตำบลใหญ่ มี 21 หมู่บ้าน (มีคณะกรรมการ 15 คน) คณะกรรมการกองทุนดูแลสมาชิกได้ไม่ทั่วถึง การบริหารจัดการไม่เข้มแข็ง คณะกรรมการและชาวบ้านไม่ได้ประชุมกันบ่อย มีปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างสมาชิกกับกองทุน ขาดการสนับสนุนจาก อบต. มีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่นเข้ามาผสมโรง ฯลฯ
นอกจากนี้ผู้เขียนยังพบว่า การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในท้องถิ่น รวมทั้งนักข่าวในส่วนกลางในกรณีของข่าวกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตาหลังในนั้น ไม่มีการนำเสนอข่าวอย่างรอบด้าน นักข่าวทำข่าวโดยการสัมภาษณ์และนำเสนอข้อมูลจากทางกลุ่มผู้ร้องเรียนแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เคยมาสัมภาณ์หรือตรวจสอบข้อมูลจากผู้ถูกร้องเรียน ทั้งยังพาดหัวข่าวในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ว่ามีการโกงเงินประมาณ 5.6 ล้านบาท ทั้งที่ตัวเลขเงินดังกล่าวเป็นตัวเลขรวมของเงินกองทุนทั้งหมด ขณะที่ตัวเลขรายจ่ายมีจำนวนสูงกว่า
จึงขอสรุปปิดท้ายด้วยคำพูดของวสันต์ น้อยพลี ประธานกองทุนฯ ว่า “เราก็อยากจะให้นักข่าวมาสัมภาษณ์ว่าเราโกงอย่างไร แต่ก็ไม่เคยมีใครมาถาม เรายอมรับว่าเราอ่อนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการ การที่เราเป็นชาวบ้าน เราไม่เป๊ะ เราหยืดหยุ่นมากไป เช่น สมาชิกที่ต้องมาสมทบทุกเดือน แต่สมาชิกบางคนก็ขอสามเดือนครั้งได้ไหม เราก็ยืดหยุ่นให้ชาวบ้าน ซึ่งมันขัดกับระเบียบ แต่เวลาชาวบ้านจะเอาเงิน กลับจะเอาตามระเบียบ”





