playlists faocebook CODINew icon_tw Intranet mail
ภาษาไทย english หน้าหลัก
                                                                                                เรียบเรียงโดย สภาองค์กรชุมชนตำบลหนองโสน
                                                                                                                  อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์

nongsanonr

ตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้จัดตั้งเป็นตำบลโดยแยกจากตำบลหนองกง เมื่อปี พ.ศ. 2538 ปัจจุบัน แบ่งการปกครองออกเป็น 12 บ้าน จัดการบริหารตำบลในรูปแบบองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น มีพื้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอนางรอง ห่างจากที่ว่าการอำเภอนางรอง ระยะทาง 20 กิโลเมตร อาชีพหลักของราษฎร คือการทำนา อาชีพรอง คือการผลิตข้าวเม่าจำหน่าย ซึ่งมีแหล่งที่ตั้งอยู่ที่ 1 บ้านโคกว่าน และอาชีพทอผ้าไหม มีแหล่งผลิตอยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้านห้วยพัฒนา และหมู่ที่ 12 บ้านโสนน้อยพัฒนา
อย่างไรก็ตามเกษตรกรทำนาปัจจุบันประสพปัญหาข้าวราคาตกต่ำ และไม่สามารถจะกำหนดราคาขายเองได้ ทั้งๆที่ชาวนาเองเป็นผู้ผลิตที่เริ่มตั้งแต่ไถจนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว แต่พอถึงเวลาขายข้าวกลับถูกตั้งราคาโดยพ่อค้าคนกลาง
ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของเกษตรกรเท่ากับเกษตรกรด้วยกันเอง และไม่มีใครแก้ปัญหาของชาวนาได้ยั่งยืนเท่ากับชาวนาเอง ชาวนาที่ทนทุกข์กับปัญหาราคาข้าว หนี้สิน วนเวียนอยู่เช่นนี้ทุกปี จนรู้สึกว่าชีวิตชาวนาช่างต่ำต้อยด้อยค่า จากเดิมเราอยู่กับตัวเองทุกวัน และมองว่าเราถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นเกษตรกรที่ตามกระแสสังคม อะไรแพงก็ปลูกสิ่งนั้น แต่ตอนหลังมาค้นพบว่ายิ่งทำมาก ก็ยิ่งจนมาก ยิ่งมีปัญหามาก วนเวียนเช่นนี้ ดังนั้นการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น หากอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เรายังทำทุกอย่างแบบเก่า ก็ยากที่จะเกิดสิ่งใหม่ การกระทำที่มาจากความคิดที่หยาบ ย่อมไม่ก่อให้เกิดผลอันประณีตŽ จึงเกิดการคิดนอกกรอบและยึดหลัก "ง่าย-ไว-ใหม่-ใหญ่-มีความสุข"Ž จึงเกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งที่สามารถพลิกฟื้นจากข้าวธรรมดาที่ราคาขายเดิมทีอยู่ที่ 10 บาท จนมาแปรรูปขายได้ในราคากิโลกรัมละ 400 บาท

nongsanonr1.jpg

การมองสินค้าใกล้ตัวคือข้าว โดยพิจารณาพบว่าข้าวเปลือกราคาอยู่ที่ 9-10 บาท/กก. หากอยากให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็ขายข้าวสารได้ราคา 20-30 บาท/กก. แต่ในแง่การแข่งขัน ข้าวสารในท้องตลาดมีเจ้าตลาดรายใหญ่มากมายที่ชุมชนไม่สามารถเข้าไปแข่งขันได้ หากจะขายในชุมชนเอง จะไม่เกิดการพัฒนา จนมองเห็นตลาดสินค้าแปรรูปจากข้าวคือ ข้าวเม่าŽ ซึ่งราคาข้าวเม่าดิบอยู่ที่ 50 บาท/กก. และหากนำไปแปรรูป ราคาจะสามารถกระโดดไปได้อีกเป็นกิโลกรัมละ 400 บาท โดยผ่านกรรมวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนในชุมชนทำกันเป็นอยู่แล้ว

 

"ข้าวเม่า" ไม่ใช่ของใหม่ในชุมชน ทุกภาคมีวัฒนธรรมการบริโภคข้าวเม่า แต่ข้าวเม่าจะนิยมในช่วงเทศกาลเท่านั้น ไม่ได้บริโภคกันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ช่วงแรกตลาดที่จำหน่ายคือคนในชุมชนเอง โดยแบ่งหน้าที่กันคือชาวนามีหน้าที่ปลูกข้าว และจำหน่ายข้าวในช่วงที่รวงข้าวยังเป็นข้าวน้ำนม ให้แก่กลุ่มที่เป็นผู้ผลิตข้าวเม่า ซึ่งเป็นคนในชุมชนที่มีเครื่องตำอยู่ที่บ้าน ประมาณ 60 ครัวเรือน
 nongsanonr2.jpg
เมื่อตำเป็นข้าวเม่าดิบจะจำหน่ายกิโลกรัมละ 50 บาท ให้แก่แม่ค้าจากพื้นที่อื่นๆ รวมไปถึงชาวนา หรือลูกเมีย ที่มาขายสินค้าในตลาดนอกเวลาทำนา มาแปรรูปเป็นข้าวเม่าอบกรอบเคลือบรสชาติต่างๆ และข้าวเม่าแปรรูปอื่น ๆ เพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นการหมุนเวียนรายได้ภายในชุมชน และเป็นการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำในสินค้าตัวเดียว
แม้ช่วงแรกจะมีปัญหาเรื่องของการจำหน่ายสินค้าตัดราคากันเองในชุมชน สุดท้ายจึงมีการพูดคุยกันเพื่อรวมกลุ่มกันผลิตปัจจุบันมี 5 กลุ่ม 120 ครัวเรือน สมาชิก 350 คน มีการตกลงเรื่องของราคา มาตรฐาน แนวคิด และความฝันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จากเดิมที่ผลิตโดยมีเงินเป็นตัวตั้ง ต่างคนต่างทำ ก็เกิดความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ข้าวเม่าของชุมชนเป็นข้าวเม่าคุณภาพดี มีมาตรฐาน มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ ทั้งด้านรสชาติ คุณภาพข้าว เช่น มีการวางแผนพัฒนาไปสู่ข้าวเม่าอินทรีย์ เพื่อหนีตลาดข้าวเม่าเดิมที่เริ่มมีการผลิตเยอะขึ้น ทั้งยังรองรับตลาดต่างประเทศ รวมถึงตลาดบนที่มีความต้องการสินค้าที่มีความใส่ใจต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น

nongsanonr3.jpg

การผลิตข้าวเม่า เราใช้รูปแบบของการสืบสานภูมิปัญญาผลิตข้าวเม่าที่มีมาช้านานตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย มาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ซึ่งในอดีตเราตำข้าวเม่าเพื่อบริโภคเองในครัวเรือนแล้วแบ่งปันกันกินในเครือญาติและนำไปงานบุญต่างๆตามประเพณีของชาวไทย แต่พอมีผู้นิยมซื้อจึงทำเป็นอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ปัจจุบันมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงหมู่บ้าน ด้วยรสชาติและคุณภาพข้าวเม่า ทำให้ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 ระดับประเทศประเภท "ข้าวเม่าไรซ์เบอร์รี่"
แต่พอมีผู้นิยมบริโภคพากันทำเป็นอาชีพต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งได้มีการพัฒนาปรับปรุงจนได้มาตรฐาน รสชาติอร่อย เป็นที่ต้องการของตลาด  ปัจจุบันส่งขายทั้งในและต่างจังหวัดสามารถสร้างอาชีพที่มั่นคง และรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดี

 

ข้าวเม่า สามารถทำได้จากทั้งเมล็ดข้าวเหนียวและเมล็ดข้าวเจ้า แต่ส่วนใหญ่มักจะทำจากเมล็ดข้าวเหนียวมากกว่าเนื่องจากข้าวเจ้านั้นแข็ง ทำให้ตำยาก เมล็ดข้าวจะไม่สวย วัตถุประสงค์ การสืบสานภูมิปัญญาดั่งเดิมนี้องทำให้ได้เรียนรู้และสามารถทำข้าวเม่าน้ำนมได้ถูกต้องตามขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่ การปลูกข้าวเหนียว การคัดเลือกพันธุ์ข้าวเหนียวอ่อน การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวรวงข้าวเหนียวอ่อน การนำรวงข้าวเหนียวอ่อนที่เป็นลักษณะน้ำนม นำรวงมาตำเมล็ดออก ไปล้างน้ำ ไปคั่ว แยกเปลือก

nongsanonr4.jpg

ต่อมาก็นำข้าวเม่าน้ำนมที่ได้จากการตำ บรรจุภัณฑ์ด้วยเครื่องสุญญากาศ ติดตราฉลาก เก็บรักษาด้วยความเย็น ขั้นตอนแต่ล่ะขั้นตอนเราทำอย่างประณีตและสะอาดถูกหลักอนามัย
สำหรับการทำข้าวเม่า มีขั้นตอนดังนี้ คือ ขั้นตอนแรก เลือกรวงข้าวที่แก่จัด มาทำ โดยสังเกตได้จากรวงข้าวเริ่มโค้ง หรือจากการแกะเมล็ดข้าวทดสอบ นำรวงข้าวมานวดเอาเมล็ดออกจากรวงข้าว นอกจากวิธีการนวดยังสามารถนำไม้ไผ่มาขูดเมล็ดข้าวออกจากรวงได้อีกวิธีหนึ่งด้วย

 

ขั้นตอนที่สอง ฝัดเมล็ดข้าวเพื่อคัดเอาเมล็ดที่ลีบออกให้หมด นำเมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ใส่ภาชนะเตรียมไว้
ขั้นตอนที่สาม นำเมล็ดข้าวไปคั่วโดยใช้ไฟความร้อนสูงใช้ไม้ไผ่คนเมล็ดข้าวตลอดเวลา เพื่อให้ได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง ใช้เวลาในการคั่ว 15-20 นาที   หรือ สังเกตจากการที่เมล็ดข้าวเริ่มแตก
ขั้นตอนที่สี่ นำเมล็ดข้าวที่คั่วแล้วมาใส่ครกเพื่อทำการตำเอาเปลือกข้าวออกจะได้เมล็ดข้าวลักษณะแบนๆ ใช้เวลาตำประมาณ 15 นาที หรือจนกว่าเปลือกจะออกจากเมล็ด

nongsanonr5.jpg

และขั้นตอนสุดท้าย นำเมล็ดข้าวที่ตำแล้ว มาใส่กระด้งทำการฝัดเพื่อแยกเอาเปลือกออก จะได้ “ ข้าวเม่า” ที่พร้อมรับประทาน ถ้าทำสุกใหม่ๆ ข้าวเม่าจะนิ่ม และหอมมาก เราสามารถนำ ข้าวเม่ามารับประทานได้เลย หรือนำไปคลุกเคล้ากับมะพร้าวและน้ำตาลทราย
ทั้งนี้เมื่อก่อนจะใช้วิธีตำด้วยมือ แต่ปัจจุบันได้ประยุกต์ใช้กระเดื่องควบคุมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นเครื่องทุ่นแรงทำให้สามารถตำข้าวเม่าได้วันละ 100 กิโลกรัม ข้าวเม่าที่ตำบลหนองโสนได้รับความนิยมทั้งจากผู้บริโภค ทำให้แต่ละครัวเรือนมีรายได้จากการจำหน่ายข้าวเม่าปีละ 4-5 แสนบาท
อย่างไรก็ตามในปี 2559 ที่ผ่านมาได้มาการจัดงานเทศกาล "กินข้าวเม่า รับลมหนาวมาเยือน” ที่จัดขึ้นเป็นปีแรก  พร้อมแปรรูปข้าวเม่าหลากหลายเมนูให้ผู้มาร่วมงานรับประทานฟรีตลอดงานด้วย
ในงานปีนั้นยังเป็นการย้อนอดีตชุมชน การเล่าขานตำนานประวัติความเป็นมาของข้าวเม่า สร้างเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ข้าวเม่าซึ่งเป็นสินค้าโอท็อปขึ้นชื่อของอำเภอนางรอง ทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีเข้มแข็งในชุมชน
โดยภายในงานได้มีการจัดแข่งขันตำข้าวเม่าลีลาพร้อมคลุกข้าวเม่าทรงเครื่อง ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่และผู้สูงอายุอย่างคึกคักสนุกสนาน สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก พร้อมกันนี้ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน "รำเรือมอัญเร”

nongsanonr6.jpg

นอกจากนั้นชาวบ้านยังได้นำข้าวเม่ามาแปรรูป เป็นข้าวเท่าทรงเครื่อง ข้าวเม่าทอด ข้าวเม่ากรอบเค็ม  ข้าวเม่าคาราเมล ข้าวเม่าไรซ์เบอรี่ ให้ประชาชนที่มาร่วมงานได้ชิมและรับประทานฟรีตลอดงานอีกด้วย
สำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวเม่า เป็นข้าวเม่าที่ขึ้นชื่อและล่าสุดได้รับรางวัลอันดับสองจากการส่งประกวดระดับประเทศด้วย แต่ละปีจะสร้างรายได้เข้าชุมชนจากอาชีพทำข้าวเม่าขายมากกว่า 60 ล้านบาท
 
ปัจจุบันเรามีภาคีร่วมกันจาก อาทิ มูลนิธิมั่นพัฒนา กองทัพบก สวทช. และหอการค้าไทย เพื่อได้เรียนรู้วิธีคิด ทบทวนตนเอง จนเกิดความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะพัฒนาตนเอง โดยใช้ทรัพยากรที่มีภูมิปัญญามาสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน ในส่วนของ อบต. ได้ส่งเสริมเรื่องการจัดหาตลาด บรรจุภัณฑ์ และตราสัญลักษณ์ของตัวเอง การรำลึกถึงบุญคุณของข้าวเม่าที่ทำให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้าวเม่าของตำบลหนองโสน โดยจัดประกวดข้าวเม่า ตำข้าวเม่าแบบโบราณ สาธิตการทำข้าวเม่า ชิมข้าวเม่าฟรีกว่า 500 กิโลกรัม
การมีพันธมิตรคือการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ในปี 2560 ทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) พอช. ได้ให้การสนับสนุนตำบลเศรษฐกิจและทุนชุมชน เป็นการต่อยอดการทำงานที่เกิดจากการบวนการคิดที่จำให้ชุมชนเข้มแข็งและสามารถจัดการตนเองได้ ซึ่งตำบลหนองโสนเองมีทุนภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาจากรุ่นต่อรุ่น นั่นคือ การนำข้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่ม คือ ข้าวเม่า ถือว่าเป็นอักหนึ่งพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและทุนชุมชน เป็นธุรกิจที่ก่อให้ชุมชนเกิดรายได้ มีหน่วยงานท้องถิ่น ท้องที่ ชุมชน เป็นเจ้าของการพัฒนาร่วมกัน การสนับสนุนการดาเนินงานของกลุ่ม องค์กร เศรษฐกิจและทุนชุมชนให้มีประสิทธิภาพ และใช้ประโยชน์จากทุนในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการบูรณาการเชื่อมโยงการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ทางชุมชนยังมองไปถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขั้นตอนสำคัญในการผลิตข้าวเม่าขั้นตอนหนึ่งคือการคั่ว ซึ่งต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิง และพลังงานที่ชุมชนสามารถหยิบมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ใกล้มือ และต้นทุนต่ำที่สุดก็คือฟืน

nongsanonr7.jpg
แต่เมื่อมีการขยายตลาด เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น ทางชุมชนมีความตระหนักว่าป่าไม้ที่มีอยู่จะถูกรุกราน และถูกแผ้วถาง โดยช่วงแรก ทางกลุ่มจึงปรึกษากับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อหาทางออก แต่เนื่องจากอุปสรรคเรื่องของต้นทุน และเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง ท้ายที่สุดชุมชนจึงตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องให้คนอื่นมาปลูกป่าเพื่อเรา ทำไมชุมชนไม่หาวิธีรองรับความเสี่ยงในอนาคตด้วยตนเอง จนเกิดเป็นแนวคิดปลูกต้นไม้ตามหัวไร่ปลายนา เพราะชาวบ้านในพื้นที่แทบทุกบ้านส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรมีพื้นที่หัวไร่ปลายนาที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ก็เลยใช้พื้นที่เหล่านั้นปลูกต้นไม้ โดยนำแนวคิดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างตามแนวพระราชดำริ มาปรับใช้จนกลายเป็นความยั่งยืนตามมา เพราะเราทำงานร่วมกัน โดยยึดหลักของการแบ่งปัน ทำให้เกิดการกระจายวงกว้างในมิติต่างๆ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม สังคม รวมไปถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมาเราทำงานโดยใช้กำลังมากกว่าปัญญา เราทำงานหนัก แต่ได้ผลผลิตน้อย ชีวิตก็ไม่มีความสุข แต่เมื่อเราทำงานโดยใช้ปัญญา อาศัยความร่วมมือกันของคนในชุมชน เราทำงานน้อยลง ได้ผลผลิตที่มากขึ้น เรามีความสุขมากขึ้น ทำให้มีเวลามองสิ่งรอบตัว ชื่นชมธรรมชาติ จิตวิญญาณมีความประณีตมากขึ้น มีหัวจิตหัวใจที่จะบำรุงดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มุ่งแต่เรื่องปากท้องอย่างเดียวอีกต่อไป ชุมชนก็จะยั่งยืน สังคมมีคุณภาพ สิ่งแวดล้อมก็ได้รับการใส่ใจเกิดความยั่งยืนในทุกมิติŽ
ปัจจุบันตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ จึงกลายเป็นอีกชุมชนเข้มแข็ง และพัฒนาตนเอง กระทั่งมองเห็นความยั่งยืนในทุกมิติ โดยผ่านกระบวนการคิดว่าทุกการทำงาน มีปัญหาให้แก้ แต่ทุกครั้งต้องทำให้เป็นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
แบ่งปัน
Submit to FacebookSubmit to Google PlusSubmit to Twitter