เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนภาคประชาชนหรือ ศตจ.ปชช. ได้จัดให้มีการสัมมนาเรื่อง “แปรวิกฤตความยากจนสร้างชุมชนเข้มแข็ง” ขึ้น ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้แทนส่วนงานราชการต่าง ๆ และผู้แทน ศตจ.ปชช. ประจำจังหวัดนำร่อง 42 จังหวัด ประมาณ 800 คนเข้าร่วม โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ หรือ ศตจ.ชาติ เดินทางมาให้นโยบายและเป็นประธานในพิธีปิดสัมมนา
นางพันทิพย์ บุตรตาด ประธานร่วม ศตจ.ปชช. กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการแก้ปัญหาความยากจน โดยการตั้ง ศตจ.ชาติ และ ศตจ.ปชช. ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างสำคัญจากภาคประชาชนในการแก้ปัญหาร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่ปี 2548 และเห็นชอบให้ ศตจ.ปชช. ดำเนินงานต่อเนื่องในปี 2549 โดยอนุมัติงบปะมาณในการดำเนินงานรวม 225 ล้านบาท โดย ศตจ.ปชช. จะใช้ประเด็นยุทธศาสตร์งานพัฒนาภาคประชาชนทั้ง 7 ประเด็น เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญพร้อมมีเป้าหมายในการดำเนินงานปี 2549 ที่ชัดเจน คือ แผนชีวิตชุมชน จำนวน 2,000 ตำบล, ทรัพยากรธรรมชาติและเกษตรกรรมยั่งยืน จำนวน 20 ตำบล 60 พื้นที่ , การจัดการที่ดินทำกิน จำนวน 55,000 ครัวเรือน 200 อำเภอ , องค์กรการเงิน/หนี้สิน จำนวน 20,000 ครัวเรือน 200 ตำบล , สวัสดิการชุมชน จำนวน 600 ตำบล , การจัดที่อยู่อาศัยฉุกเฉิน/ผู้ด้อยโอกาส/ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย จำนวน 2,500 ครัวเรือน
ประธานร่วม ศตจ.ปชช. กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติระดับพื้นที่ จึงได้มีการแต่งตั้ง ศตจ.ปชช.ระดับจังหวัดขึ้น โดยนำร่องเบื้องต้นจำนวน 42 จังหวัด ซึ่งนับเป็นโอกาสครั้งสำคัญของภาคประชาชนที่จะได้สร้างพื้นที่ในระดับภูมิภาคขึ้นมาทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งนอกเหนือจากการร่วมกันแก้ปัญหาความยากจนแล้ว เชื่อว่านี่คือ โอกาสครั้งสำคัญของภาคประชาชนในอันที่จะร่วมกันพัฒนาไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรชุมชนทั่วประเทศ
ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ปรึกษา ศตจ.ปชช. กล่าวในการเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาว่า ขณะนี้ประชาชนเดินมาถูกทางแล้ว “ความยากจน” ไม่สามารถแก้ได้ ถ้าภาคประชาชนไม่เข้ามาเป็นหลัก เราต้องแก้ปัญหาของเราเอง แก้ด้วยหัวใจและข้อเท็จจริงที่เราประสบอยู่ทุกวัน เช่นเดียวกับ พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจนด้านที่ดินกล่าวว่า ความยากจนภาคประชาชนจะต้องเป็นหลักในการแก้ ซึ่งเรื่องที่ดินนั้นมีปัญหาข้อกฎหมายมากมาย แต่ถ้าภาคประชาชนเข้มแข็งและเอาจริงเอาจัง ก็จะผลักดันให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาร่วมด้วย ปัญหาก็จะแก้ไขได้ ขออย่าได้กังวลกับกฎหมายที่เป็นอุปสรรค มิเช่นนั้นจะแก้อะไรไม่ได้เลย
ส่วนนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานที่ปรึกษาสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวในการปฐกถาพิเศษว่า ปัจจุบันงานพัฒนาภาคประชาชนก้าวหน้าไปมากเข้ามาสู่ยุคของ “ราษฎร์ทำรัฐหนุน” กล่าวคือ ภาคประชาชนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา และชักชวนให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยกันทำงานในทิศทางของภาคประชาชนได้มากขึ้น
“การแก้ไขปัญหาความยากจนต้องทำด้วยใจ สมอง และสองมือ คือ มีความคิดที่ถูกต้อง มีปณิธาณและมีจิตวิญญาณ เช่น เราตั้งปณิธาณว่า ต่อไปนี้จะใช้ชีวิตแบบพอเพียงแล้วตั้งใจให้แน่น ทำให้ได้ความจนก็จะหมดไปและต้องมีการทำงานโดยอาศัยข้อมูลมีการกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน เริ่มจากทำในพื้นที่เล็ก ๆ แล้วค่อยขยายขึ้น มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ใช้สองมือของเราและสองมือของเพื่อนรวมกันเป็นพัน ๆ มือ แล้วเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่กว้างขวาง” นายไพบูลย์กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ผอ.ศตจ.ชาติ ให้นโยบายในการทำงานว่า การทำงานต้องทำอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ โดยประชาชนที่ประสบความสำเร็จจะต้องช่วยเหลือเพื่อน ๆ เดินไปด้วยกันต้องยึดถือแนวทางประหยัดพอเพียง จึงจะแก้ปัญหาได้





